วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
Coating101: ความรู้เบื้องต้นเรื่องการเคลือบสีรถยนต์
อยากให้รถเงาสวยเหมือนในโชว์รูมอยู่ตลอดเวลา ต้องทำยังไง
ทุกวันนี้ ร้านบริการดูแลรักษารถยนต์ทั้งเปิดใหม่และมีบริการใหม่ๆอยู่เสมอๆ จากเดิมที่มีแค่การบริการล้างรถ ตอนนี้มีทั้งบริการทำความสะอาดภายนอก ภายใน อบโอโซน รวมถึงบริการเคลือบสีรถเต็มไปหมด หลายๆคนคงสงสัยว่าการบำรุงรักษาโดยเฉพาะการเคลือบสีรถที่ราคาค่อนข้างสูงนั้น จำเป็นจริงหรือ หากจะตอบคำถามนี้ เราคงต้องย้อนกลับมามองปัญหาที่เราเจ้าของรถทุกคนเจอและหนักใจอยู่ไม่น้อย เช่น รถที่ต้องใช้แทบทุกวัน ไหนจะขับไปตากแดดเจอฝน จนสีหมองขึ้น ยิ่งต้องขับคลุกฝุ่นควันในกรุงเทพ หรือเปื้อนโคลนแล้ว ก็ต้องยิ่งต้องล้างทำความสะอาดบ่อยขึ้นไปอีก บางครั้งตั้งใจจะล้างให้สะอาดเหมือนใหม่ แต่ที่ไหนได้ดันได้รอยขนแมวเพิ่มขึ้นมาจากการล้างรถแต่ละครั้งอีก นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญหาคราบมูลนก ยางมะตอยที่ล้างออกยากและ กัดสีรถจนเป็นรอย ความเงางามของรถหายไปจนหมด จากรถสวยๆกลายมาเป็นรถขี้ฝุ่นเขรอะ มีคราบเป็นดวงๆ แน่นอนว่าการที่จะไม่ใช้รถเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการขัดเคลือบสีรถยนต์จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบในการดูแลรถสำหรับคนรักรถหลายๆคน ที่จะช่วยปกป้องรถจากปัญหาเหล่านี้
การที่อยากให้ผิวสีรถยนต์ของเรามีความเงาฉ่ำเหมือนรถใหม่ในโชว์รูมนั้นไม่ยาก ความเงางามของรถนั้นเกิดจากการดูแลรักษาที่ถูกต้องและดี เริ่มตั้งแต่การใช้งาน การล้าง การขัด และการเคลือบสีมีคุณภาพ การใช้งานที่เหมาะสม เช่น ไม่ขับไปจอดตากแดดตากฝน การล้างโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี pH เป็นกลาง ไม่ทำปฏิกิริยากับผิวรถ การขัดเก็บรอยรอยอย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเป็นงานขัดที่เนี๊ยบเท่านั้น เพราะหากบางที่ขัดไม่ดี รถจะมีรอยขัดเป็นวงๆเส้นๆจนน่าเกลียด) และสุดท้ายหลังจากการเตรียมผิวรถที่ดีมาแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวสีรถที่ดี ที่ส่งผลต่อความเงางาม ความฉ่ำของผิวสีรถโดยตรงที่สุด
การเคลือบสีรถยนต์ที่มีบริการตอนนี้ มีอะไรบ้าง
ถ้าจะให้พูดถึงการเคลือบสีรถยนต์ ก็ยังมีหลายคนที่ยังรู้จักแค่การเคลือบสีรถแบบเดิมๆ นั้นก็คือ การแวกซ์ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ใน ตอนนี้มีวิธีการปกป้องผิวสีรถยนต์มากกว่า 4 แบบในท้องตลาด โดยสามารถจำแนกประเภทออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามความต้องการดูแลและปกป้องรถยนต์คือ 1.เพื่อความแข็งแรงป้องกันผิวสีรถยนต์ 2.เพื่อความเงางามของผิวสีรถยนต์รวมถึงต้องการการปกป้องในระดับหนึ่ง สำหรับเจ้าของรถที่เน้นความแข็งแรงของผิวรถเพื่อป้องกันการกระเทาะจากสะเก็ดหินโดยเฉพาะนั้น จะมีเพียงวิธีเดียวนั้นคือ การติดฟิล์มป้องกันเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ ก็มีศูนย์บำรุงรักษารถยนต์ในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ที่นำเสนอบริการการติดฟิล์มป้องกันสะเก็ดหินให้บริการ แต่ในทางกลับกัน หากเจ้าของรถต้องการความเงางามของรถเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งการป้องกันผิวรถนั้น ศูนย์บริการแต่ละแห่งก็มีการบริการขัดเคลือบสีตามการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการเคลือบระยะสั้น (Wax) และการเคลือบระยะยาว (Coating)
การติด ฟิล์มใสป้องกันสะเก็ดหิน (Paint Protection Film) ดีจริงหรือ
การปกป้องสีผิวรถยนต์จากสะเก็ดหินนั้น สามารถทำได้โดยการติดชั้นฟิล์มใสที่ตัวรถ เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกของสะเก็ดหินโดยตรง ดังนั้นข้อดีของการติดฟิล์มคือ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันสะเก็ดหินโดยเฉพาะ มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างคงทน และสามารถลอกเปลี่ยนใหม่ได้ทุกเมื่อ แต่ก็มีข้อเสียคือ ไม่มีคุณสมบัติในเรื่องของความเงางาม ในบางยี่ห้ออาจจะไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันแสงUVอยู่เลย (ซึ่งแสง UV จะทำร้ายสีรถโดยตรงและทำให้สีรถเปลี่ยนไปได้) ไม่มีความสวยงามที่เห็นเป็นรอยฟิล์มติดอยู่บนตัวรถ สีฟิล์มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและขุ่นขึ้นเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ราคาที่ค่อนข้างสูง ในปัจจุบัน ความเสี่ยงที่อาจะเกิดขึ้นจากรอยคัตเตอร์จากการติดฟิล์มได้สูงหากช่างไม่มีความชำนาญมากพอ หากเลือกใช้ฟิล์มคุณภาพไม่ดีอาจจะเป็นคราบหรือกระทั่งสีรถอาจหลุดลอกฟิล์มออกมาด้วยตอนลอกออก รวมถึงแม้ว่าจะติดฟิล์มไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการกระแทกจากหินแรงๆได้100%
การเลือกใช้ฟิล์มคุณภาพต่ำ
การติดตั้งฟิล์มที่ไม่ได้มาตรฐาน
การติดฟิล์มนั้นถือเป็นตัวเลือก ที่เหมาะสำหรับการปกป้องรถเป็นหลักโดยไม่ได้คำนึงถึงความเงางามและสวยงามของตัวรถเลย เช่น เจ้าของรถที่เน้นความเร็วเวลาขับขี่ และมีความเสี่ยงสูงต่อการกระแทกโดยสะเก็ดหินเป็นประจำนั่นเอง แต่ถ้าเจ้าของรถต้องการความสวยงามเป็นหลัก แต่ก็ยังคำนึงถึงการปกป้องผิวของรถยนต์ในระดับหนึ่งแล้ว งานเคลือบอื่นๆ เช่น การแวกซ์ เคลือบซิลิโคน และเคลือบแก้วจะสามารถตอบโจทย์และเหมาะสมมากกว่า
การแวกซ์ (Wax) ดีไหม จะมีผลเสียอะไรหรือป่าว
การแวกซ์นั้น จัดเป็นการเคลือบสีรถระยะสั้น ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ การขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทครีม และการขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทน้ำ การขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทครีม หรือทีเรียกกันว่า คาร์นูบาร์ แว็กซ์ นั้น จะช่วยเพิ่มความเงางามให้สีรถยนต์เป็นหลัก แต่มีข้อเสียสำคัญคือมีอายุการใช้งานสั้น ทนความร้อนได้ต่ำเพียง 82-86°C เท่านั้น[1] ซึ่งสามารถใช้งานได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ในต่างประเทศ แต่หากใช้งานในประเทศไทย ที่มีอากาศค่อนข้างร้อนมาก การใช้งานนั้นอาจจะเหลือเพียง 3-4 วันเท่านั้นด้วยซ้ำ ส่วนการแวกซ์อีกประเภทคือ การใช้แวกซ์ประเภทน้ำที่เรียกกันว่าโพลิเมอร์ ซีลแลนท์หรือซินเตติก ซีลแลนท์ ข้อดีของการแวกซ์ประเภทนี้คืออยู่ได้นานกว่าและทนความร้อนได้มากกว่าการแวกซ์ประเภทครีม โดยทนความร้อนได้สูงถึง 105-140°C1 และจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน หรืออาจจะมีอายุการใช้งานแค่ 3-4 อาทิตย์สำหรับในประเทศไทย แต่มีข้อเสียที่คือ จะให้ความเงางามที่น้อยกว่าประเภทครีม
งานแวกซ์ที่ไม่ได้คุณภาพ คราบแวกซ์ติดชิ้นส่วน
โดยรวมแล้วการเคลือบสีรถประเภทแวกซ์นั้น มีจุดเด่นที่ให้ความเงางามในราคาที่ไม่แพงสำหรับอายุการใช้งานในระยะสั้นๆเท่านั้น และสามารถหาร้านบริการได้ง่าย แต่มีจุดด้อยที่ต้องทำซ้ำเป็นประจำๆ แทบจะทุกเดือน (ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่รถจะเป็นรอยมากขึ้นไปอีก หากร้านที่บริการไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีคุณสมบัติในการปกป้องสีรถยนต์อื่นๆเลยนอกจากความเงางามในระยะสั้นๆ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ในระยะยาวแล้วการแวกซ์อาจจะส่งผลต่อสีผิวของรถ เนื่องจากส่วนผสมของแวกซ์นั้นมีน้ำมันผสมอยู่ซึ่งจะทำปฎิกิริยากับความร้อนและแสง UV จนก่อความเสียหายได้ นอกจากนั้นแล้วหากเลือกใช้บริการแวกซ์ที่ไม่มีคุณภาพ และผู้ให้บริการที่ไม่มืออาชีพแล้วละก็ อาจจะเกิดคราบแวกซ์สีขาวขุ่นติดชิ้นส่วนทีเป็นยางหรือพลาสติกตลอดไปเลยก็ได้
การเคลือบสีผิวรถในระยะยาวคืออะไร ดีกว่าการแวกซ์ยังไง
สำหรับการเคลือบสีในระยะยาวนั้น เพื่อการรักษาความเงางามของสีรถยนต์ และให้การป้องกันผิวรถยนต์ในระดับหนึ่ง ได้แก่ การเคลือบซิลิโคน (Silicone Coating) และการเคลือบแก้ว (Glass Coating) โดยทั้งสองประเภทมีชั้นผิวเคลือบที่แข็งแรง ช่วยปกป้องรถจากมลภาวะต่างๆ รวมถึงมีความเงางามที่ใสเหมือนกระจกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลือบสีรถด้วยซิลิโคน หรือเคลือบแก้ว จะช่วยรักษาความเงางามให้แก่ตัวรถโดยตรง ลดปัญหาคราบน้ำ หรือฝนกัดชั้นสีผิวรถ รอยขนแมว แสงUV รวมถึงคราบสกปรกจากมูลนก ยางไม้ หรือยางมะตอย เป็นต้นข้อแตกต่างหลักๆของการเคลือบสองประเภทนี้ก็คือ ด้านราคาและอายุการใช้งาน การเคลือบแก้วจะมีการใช้งานที่ยาวนานกว่า โดยเฉลี่ยมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ในขณะที่การเคลือบซิลิโคนมีการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 1-1.5 ปี ในราคาที่เบากระเป๋ากว่า
การเคลือบซิลิโคนต่างจากการเคลือบแก้วยังไง ควรจะเคลือบแบบไหนจะดีกว่ากัน
การเคลือบซิลิโคนเป็นการเคลือบสีผิวรถด้วยผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจาก Silicone Resin โดยทำให้ชั้นเคลือบโปร่งใสเงางาม มีคุณสมบัติคล้ายกับการเคลือบแก้ว เหมาะสำหรับเจ้าของรถผู้ที่ต้องการทั้งความเงางามของผิวรถควบคู่ไปกับการปกป้องในระดับหนึ่งเท่านั้น ข้อดีของการเคลือบซิลิโคนนั่น แน่นอนว่าคือราคาที่ย่อมเยากว่าการเคลือบแก้ว และมีคุณสมบัติอย่างอื่นเช่น ช่วยเพิ่มระดับการปกป้องผิวสีรถจากฝุ่น, ความร้อน, และมลภาวะต่างๆ โดยสามารถปกป้องผิวสีรถยนต์จากรังสี UV ทนความร้อนได้ถึง 600°C และมีอายุการใช้งานประมาณ 1-1.5 ปี ในการเคลือบ 1 ครั้ง[2] สำหรับข้อเสียนั้นก็คือ ชั้นของการเคลือบซิลิโคนไม่ได้แข็งแรงเท่ากับการเคลือบแก้ว และแน่นอนว่าไม่สามารถป้องกันความเสียหายจะการกระแทกของสะเก็ดหินได้มากเท่าการติดฟิล์ม
การเคลือบแก้ว (Glass Coating) ดียังไง
สำหรับการเคลือบแก้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ หากคำนึงถึงทั้งประโยชน์ด้านความเงางามของตัวรถ และการปกป้องด้วย เนื่องจากคุณสมบัติของส่วนประกอบหลักที่นำมาเคลือบนั้น คือ ซิลิกา (Silica) ที่มีคุณสมบัติในด้านให้ความเงางามและความแข็งเหมือนแผ่นกระจก ดังนั้นการเคลือบแก้ว ก็จะครอบคลุมหลายด้าน ทั้งสามารถลดปัญหาคราบเปื้อนต่างๆ ทั้งยางมะตอย มูลนก คราบหยดน้ำ ฝุ่นต่างๆที่เกาะตัวรถและทำลายผิวรถ ช่วยให้สีผิวรถไม่ซีดจางจากรังสี UV ลดการเกิดรอยขนแมว โดยสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 1300°C ซึ่งสูงกว่าการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดและยังไม่สะสมความร้อนบนผิวสีรถยนต์ มีระยะการใช้งานที่ยาวนาน 5-10 ปี[3] (อาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในน้ำยาเคลือบแก้วของแต่ยี่ห้อ) รวมถึงทำให้การทำความสะอาดรถเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ใช้น้ำเปล่าล้าง และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดก็ได้รถสะอาดเงางามเหมือนใหม่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น โดยปกติแล้วการเคลือบแก้วมักจะให้บริการเป็นแพ็คเกจ 3-5 ปี แตกต่างกันในแต่ละผู้ให้บริการ ซึ่งจะมีบริการการบำรุงรักษาเคลือบแก้วในทุก 3-6เดือนเพื่อบริการเคลือบซ้ำบนชั้นเคลือบแก้วที่อาจเสื่อมสภาพไปในชั้นบนสุด หรือบางรายอาจให้บริการขัดเก็บรอยบนตัวรถด้วยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าของรถสามารถมั่นใจได้ว่ารถของเรานั้นจะเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ส่วนในเรื่องราคาของการเคลือบแก้วในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าไม่ได้สูงมาก เนื่องจากในปัจจุบัน มีคู่แข่งในตลาดจำนวนมากขึ้น ราคาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว สำหรับข้อด้อยของเคลือบแก้วนั้นก็คือ จะไม่สามารถปกป้องจากการกระแทกจากสะเก็ดหินมากเท่าการติดฟิล์ม
หมดปัญหาเรื่องหยดน้ำเกาะ จนกัดสีผิวรถยนต์
ทำความสะอาดง่ายเพียงล้างน้ำเปล่าและใช้ผ้าเช็ด
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว
เนื่องจากการเคลือบสีรถอย่างการเคลือบแก้วนั้น เพิ่งนำเข้ามากันได้ไม่นานและยังไม่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย ดังนั้นบางคนอาจจะยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการเคลือบแก้ว เช่น หากเคลือบไปแล้ว เมื่อใช้ไปจนหมดอายุการใช้งาน โดยไม่ได้เคลือบซ้ำ สีรถจะเพี้ยน เป็นรอยด่างๆไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่จริงเลย การเคลือบแก้วนั้น เมื่อหมดอายุการใช้งาน ก็ไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆต่อสีผิวรถแต่อย่างใด เนื่องจากการเคลือบแก้วนั้น เป็นชั้นผิวที่เราเคลือบทับลงไปเพื่อปกป้องสีจากสีจริงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่หมดสภาพก็คือชั้นที่เราเคลือบลงไป ไม่ได้สีผิวรถจริงแต่อย่างใด
นอกจากความเข้าใจเกี่ยวกับจำนวนชั้นเคลือบที่น้อยกว่า หรือแม้กระทั่งจำนวนไมครอน (หน่วยวัดความหนา โดย 1,000มิลลิเมตรเท่ากับ1 micron) ของการเคลือบที่ว่า ยิ่งชั้นเคลือบหนา ยิ่งดี ยิ่งสวยนั้น ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดเช่นกัน เนื่องจากหากชั้นเคลือบมีความหนา เมื่อแสงจากภายนอกตกกระทบบนผิวรถ เนื่องจากชั้นผิวมีความหนามาก ก็จะทำให้สีที่สะท้อนออกไป รวมถึงมิติจากตัวรถก็จะเพี้ยนจากสีจริงและไม่สวย
อีกทั้งยังมีบางคนที่เข้าใจผิดว่า การดูแลรถจะยากขึ้นเมื่อเราเคลือบแก้ว ซึ่งไม่จริงแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การเคลือบแก้วจะทำให้การดูแลรักษาง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่การล้างที่อาจจะล้างโดยใช้น้ำเปล่าก็พอ หรือหากต้องการใช้แชมพู ก็ควรใช้แชมพูที่มีค่า pH เป็นกลาง ร่วมกับอุปกรณ์เช่น ฟองน้ำ หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ก็เพียงพอแล้ว
ความเข้าใจผิดอีกอย่างก็คือ การเคลือบแก้วนั้นเหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น ซึ่งไม่จริงเลย ไม่ว่าจะรถเก่าหรือรถใหม่ก็สามารถเคลือบแก้วได้เช่นกัน ยิ่งหากเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว หลังจากการขัดรอยและเคลือบแก้วไปแล้วจะเห็นความแตกต่างในเรื่องความเงางามของรถได้ชัดกว่ารถใหม่เสียอีก
หรือบางคนอาจจะอยากให้รถมีความเงาฉ่ำมากขึ้น จึงอยากนำไปเคลือบแวกซ์ซ้ำหลังการเคลือบแก้ว ความจริงแล้ว การเคลือบแวกซ์ซ้ำหลังการเคลือบแก้วแล้ว ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อชั้นสีผิวรถยนต์เนื่องจากมีชั้นเคลือบแก้วอยู่ระหว่างงานเคลือบแวกซ์และชั้นสีรถจริงอยู่แล้ว แต่จะส่งผลกระทบโดยทำให้การเกาะตัวของฝุ่นหรือคราบต่างๆเป็นไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์แวกซ์มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบนั่นเอง
[1] งานวิจัยโดย Carroll Scientific, Inc., สหรัฐอเมริกา
[2] งานวิจัยโดย SBRAND ประเทศญี่ปุ่น
[3] งานวิจัยโดย SBRAND ประเทศญี่ปุ่น
เคลือบสีรถแบบไหนคุ้มที่สุด?
เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของการเคลือบในแต่ละประเภทแล้ว จะเห็นได้ว่าในระยะยาวแล้ว ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดคือการเคลือบแก้วที่ได้ทั้งการปกป้องและความสวยงามของตัวรถ แต่หากต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายด้วยเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียวแล้วไม่สะดวกแล้ว การเคลือบซิลิโคนก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจรองลงมาจากการเคลือบแก้ว ส่วนการแวกซ์ทั้ง 2 ประเภท ทั้ง คาร์นูบาร์ แวกซ์ และโพลิเมอร์ ซิลแลนท์ ต่างก็มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ค่อนข้างถูกและสบายกระเป๋าทั้งคู่ แต่ก็อย่าลืมว่าคุณจำเป็นต้องล้างทำความสะอาดและขัดเก็บรอยรถบ่อยขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากใช้ไปในระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายแตกต่างจากการเคลือบประเภทซิลิโคนหรือเคลือบแก้วเป็นจำนวนมากเลยทีเดียวระเป๋าทั้งคูู่กมางถูกมากอนข้างถูกมากอเทียบกับการเคลือบประเภทอื่นในท้องตลาด้รับการบำรุงรักษาเป็นประจำๆ แต่หากเจ้าของรถท่านใดที่ต้องการการปกป้องจากสะเก็ดหินอย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวแล้วละก็ ฟิล์มใสกันสะเก็ดหินคุณภาพสูงเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่มี ณ ตอนนี้ แต่ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดเช่นกัน
การเคลือบสีรถประเภทไหนที่เหมาะกับเราที่สุด
การติดฟิล์มใสกันสะเก็ดหิน
เน้นการปกป้องจากสะเก็ดหินเพียงอย่างเดียว
ไม่ได้เน้นเรื่องความเงางามของตัวรถ
เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน
มีงบประมาณสูง
การแวกซ์
เน้นแค่ความเงาฉ่ำของผิวสีรถเท่านั้น
ไม่ได้เน้นเรื่องการปกป้องจากมลภาวะเท่าไหร่นัก
มีเวลาในการขัดและเคลือบแวกซ์อยู่บ่อยๆ
มีงบค่อนข้างจำกัดต่อครั้ง
การเคลือบซิลิโคน
ต้องการทั้งความเงางาม ใสเหมือนกระจกรองมาจากการเคลือบแก้ว
ต้องการการปกป้องสีรถจากมลภาวะ
เน้นการดูแลรักษาและทำความสะอาดที่ง่าย
เน้นอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนาน 1-1.5 ปี
มีงบประมาณปานกลางในการเคลือบสีรถ
การเคลือบแก้ว
ต้องการทั้งความเงางาม ใสเหมือนกระจก
ต้องการการปกป้องสีรถจากมลภาวะ
เน้นการดูแลรักษาและทำความสะอาดที่ง่าย
ต้องการบริการดูแลรักษาจากผู้ให้บริการอยู่เสมอๆ
เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน และคุ้มค่า
มีงบประมาณค่อนข้างสูง
โดยสรุปแล้วการเคลือบขัดสีผิวรถยนต์มีอยู่หลายประเภท ซึ่งเหมาะกับเป้าหมายการใช้งานที่แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าในงบประมาณที่ต่างกันด้วย หากใครรู้ตัวว่าต้องการความแข็งแรง เพื่อปกป้องผิวรถโดยเฉพาะเท่านั้น ก็เหมาะกับการติดฟิล์มป้องกันรถ แต่ถ้าต้องการความสวยเหมือนใหม่ตลอดเวลาแล้ว หากมีงบที่ค่อนข้างสูง ก็อาจจะเลือกการเคลือบแก้ว หากมีงบปานกลาง ก็อาจจะใช้การเคลือบโดยซิลิโคน หรือหากมีงบที่จำกัด แต่ยังเน้นที่ความเงางาม ก็อาจจะเลือกใช้การแวกซ์ แต่ก็ต้องยอมรับในผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อสีผิวในระยะยาวด้วยเช่นกัน
จะเคลือบแก้วที่ไหนดี เคลือบแก้วแต่ละที่นั้นต่างกันยังไง
สุดท้ายแล้ว หากคุณต้องการความเงางามของตัวรถควบคู่ไปกับการปกป้องในระดับหนึ่ง ถึงแม้การเคลือบแก้วจะถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ แต่เนื่องจากการบริการเคลือบแก้วในปัจจุบันมีอยู่เยอะมาก ทำให้ทั้งเคลือบแก้วแท้และไม่แท้ปะปนกัน (ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพผลิตภัณฑ์และอายุการใช้งานย่อมแตกต่างกัน) ดังนั้นแล้ว การเลือกซื้อบริการเคลือบสีรถประเภทใดหรือตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการจากหลายๆปัจจัย แทนที่เราจะเน้นที่ราคาถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว เราควรศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือน้ำยาที่ผู้ให้บริการเลือกใช้ ความชำนาญของผู้ให้บริการ หรือแม้กระทั่งการเตรียมพื้นผิวรถยนต์ก่อนลงการเคลือบสี เนื่องจากการขัดผิวรถนั้นส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงานเคลือบที่ออกมา และสุดท้ายแล้ว สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเคลือบแก้วที่มีการขายเป็นแพ็คเกจนาน 3-5 ปีแตกต่างกันออกไปนั้น เราควรจะคำนึงถึงการบริการหลังการขายที่มีการบำรุงรักษาในทุกๆ 3-6 เดือน รวมถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของแบรนด์เป็นหลักด้วยเช่นกัน เพราะเราซื้อเคลือบแก้วทีละ 3-5 ปี หากร้านนั้นปิดกิจการไปก็แน่นอนว่าเราก็ต้องทิ้งเงินไปเปล่าๆ
ตัวอย่างงานขัดที่ดี
More informaiton: SIAM SBRAND
งานขัดที่ไม่มีคุณภาพ
ทุกวันนี้ ร้านบริการดูแลรักษารถยนต์ทั้งเปิดใหม่และมีบริการใหม่ๆอยู่เสมอๆ จากเดิมที่มีแค่การบริการล้างรถ ตอนนี้มีทั้งบริการทำความสะอาดภายนอก ภายใน อบโอโซน รวมถึงบริการเคลือบสีรถเต็มไปหมด หลายๆคนคงสงสัยว่าการบำรุงรักษาโดยเฉพาะการเคลือบสีรถที่ราคาค่อนข้างสูงนั้น จำเป็นจริงหรือ หากจะตอบคำถามนี้ เราคงต้องย้อนกลับมามองปัญหาที่เราเจ้าของรถทุกคนเจอและหนักใจอยู่ไม่น้อย เช่น รถที่ต้องใช้แทบทุกวัน ไหนจะขับไปตากแดดเจอฝน จนสีหมองขึ้น ยิ่งต้องขับคลุกฝุ่นควันในกรุงเทพ หรือเปื้อนโคลนแล้ว ก็ต้องยิ่งต้องล้างทำความสะอาดบ่อยขึ้นไปอีก บางครั้งตั้งใจจะล้างให้สะอาดเหมือนใหม่ แต่ที่ไหนได้ดันได้รอยขนแมวเพิ่มขึ้นมาจากการล้างรถแต่ละครั้งอีก นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญหาคราบมูลนก ยางมะตอยที่ล้างออกยากและ กัดสีรถจนเป็นรอย ความเงางามของรถหายไปจนหมด จากรถสวยๆกลายมาเป็นรถขี้ฝุ่นเขรอะ มีคราบเป็นดวงๆ แน่นอนว่าการที่จะไม่ใช้รถเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการขัดเคลือบสีรถยนต์จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบในการดูแลรถสำหรับคนรักรถหลายๆคน ที่จะช่วยปกป้องรถจากปัญหาเหล่านี้
การที่อยากให้ผิวสีรถยนต์ของเรามีความเงาฉ่ำเหมือนรถใหม่ในโชว์รูมนั้นไม่ยาก ความเงางามของรถนั้นเกิดจากการดูแลรักษาที่ถูกต้องและดี เริ่มตั้งแต่การใช้งาน การล้าง การขัด และการเคลือบสีมีคุณภาพ การใช้งานที่เหมาะสม เช่น ไม่ขับไปจอดตากแดดตากฝน การล้างโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี pH เป็นกลาง ไม่ทำปฏิกิริยากับผิวรถ การขัดเก็บรอยรอยอย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเป็นงานขัดที่เนี๊ยบเท่านั้น เพราะหากบางที่ขัดไม่ดี รถจะมีรอยขัดเป็นวงๆเส้นๆจนน่าเกลียด) และสุดท้ายหลังจากการเตรียมผิวรถที่ดีมาแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวสีรถที่ดี ที่ส่งผลต่อความเงางาม ความฉ่ำของผิวสีรถโดยตรงที่สุด
การเคลือบสีรถยนต์ที่มีบริการตอนนี้ มีอะไรบ้าง
ถ้าจะให้พูดถึงการเคลือบสีรถยนต์ ก็ยังมีหลายคนที่ยังรู้จักแค่การเคลือบสีรถแบบเดิมๆ นั้นก็คือ การแวกซ์ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ใน ตอนนี้มีวิธีการปกป้องผิวสีรถยนต์มากกว่า 4 แบบในท้องตลาด โดยสามารถจำแนกประเภทออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามความต้องการดูแลและปกป้องรถยนต์คือ 1.เพื่อความแข็งแรงป้องกันผิวสีรถยนต์ 2.เพื่อความเงางามของผิวสีรถยนต์รวมถึงต้องการการปกป้องในระดับหนึ่ง สำหรับเจ้าของรถที่เน้นความแข็งแรงของผิวรถเพื่อป้องกันการกระเทาะจากสะเก็ดหินโดยเฉพาะนั้น จะมีเพียงวิธีเดียวนั้นคือ การติดฟิล์มป้องกันเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ ก็มีศูนย์บำรุงรักษารถยนต์ในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ที่นำเสนอบริการการติดฟิล์มป้องกันสะเก็ดหินให้บริการ แต่ในทางกลับกัน หากเจ้าของรถต้องการความเงางามของรถเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งการป้องกันผิวรถนั้น ศูนย์บริการแต่ละแห่งก็มีการบริการขัดเคลือบสีตามการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการเคลือบระยะสั้น (Wax) และการเคลือบระยะยาว (Coating)
การติด ฟิล์มใสป้องกันสะเก็ดหิน (Paint Protection Film) ดีจริงหรือ
การปกป้องสีผิวรถยนต์จากสะเก็ดหินนั้น สามารถทำได้โดยการติดชั้นฟิล์มใสที่ตัวรถ เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกของสะเก็ดหินโดยตรง ดังนั้นข้อดีของการติดฟิล์มคือ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันสะเก็ดหินโดยเฉพาะ มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างคงทน และสามารถลอกเปลี่ยนใหม่ได้ทุกเมื่อ แต่ก็มีข้อเสียคือ ไม่มีคุณสมบัติในเรื่องของความเงางาม ในบางยี่ห้ออาจจะไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันแสงUVอยู่เลย (ซึ่งแสง UV จะทำร้ายสีรถโดยตรงและทำให้สีรถเปลี่ยนไปได้) ไม่มีความสวยงามที่เห็นเป็นรอยฟิล์มติดอยู่บนตัวรถ สีฟิล์มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและขุ่นขึ้นเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ราคาที่ค่อนข้างสูง ในปัจจุบัน ความเสี่ยงที่อาจะเกิดขึ้นจากรอยคัตเตอร์จากการติดฟิล์มได้สูงหากช่างไม่มีความชำนาญมากพอ หากเลือกใช้ฟิล์มคุณภาพไม่ดีอาจจะเป็นคราบหรือกระทั่งสีรถอาจหลุดลอกฟิล์มออกมาด้วยตอนลอกออก รวมถึงแม้ว่าจะติดฟิล์มไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการกระแทกจากหินแรงๆได้100%
การเลือกใช้ฟิล์มคุณภาพต่ำ
การติดตั้งฟิล์มที่ไม่ได้มาตรฐาน
การติดฟิล์มนั้นถือเป็นตัวเลือก ที่เหมาะสำหรับการปกป้องรถเป็นหลักโดยไม่ได้คำนึงถึงความเงางามและสวยงามของตัวรถเลย เช่น เจ้าของรถที่เน้นความเร็วเวลาขับขี่ และมีความเสี่ยงสูงต่อการกระแทกโดยสะเก็ดหินเป็นประจำนั่นเอง แต่ถ้าเจ้าของรถต้องการความสวยงามเป็นหลัก แต่ก็ยังคำนึงถึงการปกป้องผิวของรถยนต์ในระดับหนึ่งแล้ว งานเคลือบอื่นๆ เช่น การแวกซ์ เคลือบซิลิโคน และเคลือบแก้วจะสามารถตอบโจทย์และเหมาะสมมากกว่า
การแวกซ์ (Wax) ดีไหม จะมีผลเสียอะไรหรือป่าว
การแวกซ์นั้น จัดเป็นการเคลือบสีรถระยะสั้น ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ การขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทครีม และการขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทน้ำ การขัดเคลือบสีโดยใช้แวกซ์ ประเภทครีม หรือทีเรียกกันว่า คาร์นูบาร์ แว็กซ์ นั้น จะช่วยเพิ่มความเงางามให้สีรถยนต์เป็นหลัก แต่มีข้อเสียสำคัญคือมีอายุการใช้งานสั้น ทนความร้อนได้ต่ำเพียง 82-86°C เท่านั้น[1] ซึ่งสามารถใช้งานได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ในต่างประเทศ แต่หากใช้งานในประเทศไทย ที่มีอากาศค่อนข้างร้อนมาก การใช้งานนั้นอาจจะเหลือเพียง 3-4 วันเท่านั้นด้วยซ้ำ ส่วนการแวกซ์อีกประเภทคือ การใช้แวกซ์ประเภทน้ำที่เรียกกันว่าโพลิเมอร์ ซีลแลนท์หรือซินเตติก ซีลแลนท์ ข้อดีของการแวกซ์ประเภทนี้คืออยู่ได้นานกว่าและทนความร้อนได้มากกว่าการแวกซ์ประเภทครีม โดยทนความร้อนได้สูงถึง 105-140°C1 และจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน หรืออาจจะมีอายุการใช้งานแค่ 3-4 อาทิตย์สำหรับในประเทศไทย แต่มีข้อเสียที่คือ จะให้ความเงางามที่น้อยกว่าประเภทครีม
งานแวกซ์ที่ไม่ได้คุณภาพ คราบแวกซ์ติดชิ้นส่วน
โดยรวมแล้วการเคลือบสีรถประเภทแวกซ์นั้น มีจุดเด่นที่ให้ความเงางามในราคาที่ไม่แพงสำหรับอายุการใช้งานในระยะสั้นๆเท่านั้น และสามารถหาร้านบริการได้ง่าย แต่มีจุดด้อยที่ต้องทำซ้ำเป็นประจำๆ แทบจะทุกเดือน (ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่รถจะเป็นรอยมากขึ้นไปอีก หากร้านที่บริการไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีคุณสมบัติในการปกป้องสีรถยนต์อื่นๆเลยนอกจากความเงางามในระยะสั้นๆ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ในระยะยาวแล้วการแวกซ์อาจจะส่งผลต่อสีผิวของรถ เนื่องจากส่วนผสมของแวกซ์นั้นมีน้ำมันผสมอยู่ซึ่งจะทำปฎิกิริยากับความร้อนและแสง UV จนก่อความเสียหายได้ นอกจากนั้นแล้วหากเลือกใช้บริการแวกซ์ที่ไม่มีคุณภาพ และผู้ให้บริการที่ไม่มืออาชีพแล้วละก็ อาจจะเกิดคราบแวกซ์สีขาวขุ่นติดชิ้นส่วนทีเป็นยางหรือพลาสติกตลอดไปเลยก็ได้
การเคลือบสีผิวรถในระยะยาวคืออะไร ดีกว่าการแวกซ์ยังไง
สำหรับการเคลือบสีในระยะยาวนั้น เพื่อการรักษาความเงางามของสีรถยนต์ และให้การป้องกันผิวรถยนต์ในระดับหนึ่ง ได้แก่ การเคลือบซิลิโคน (Silicone Coating) และการเคลือบแก้ว (Glass Coating) โดยทั้งสองประเภทมีชั้นผิวเคลือบที่แข็งแรง ช่วยปกป้องรถจากมลภาวะต่างๆ รวมถึงมีความเงางามที่ใสเหมือนกระจกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลือบสีรถด้วยซิลิโคน หรือเคลือบแก้ว จะช่วยรักษาความเงางามให้แก่ตัวรถโดยตรง ลดปัญหาคราบน้ำ หรือฝนกัดชั้นสีผิวรถ รอยขนแมว แสงUV รวมถึงคราบสกปรกจากมูลนก ยางไม้ หรือยางมะตอย เป็นต้นข้อแตกต่างหลักๆของการเคลือบสองประเภทนี้ก็คือ ด้านราคาและอายุการใช้งาน การเคลือบแก้วจะมีการใช้งานที่ยาวนานกว่า โดยเฉลี่ยมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ในขณะที่การเคลือบซิลิโคนมีการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 1-1.5 ปี ในราคาที่เบากระเป๋ากว่า
การเคลือบซิลิโคนต่างจากการเคลือบแก้วยังไง ควรจะเคลือบแบบไหนจะดีกว่ากัน
การเคลือบซิลิโคนเป็นการเคลือบสีผิวรถด้วยผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจาก Silicone Resin โดยทำให้ชั้นเคลือบโปร่งใสเงางาม มีคุณสมบัติคล้ายกับการเคลือบแก้ว เหมาะสำหรับเจ้าของรถผู้ที่ต้องการทั้งความเงางามของผิวรถควบคู่ไปกับการปกป้องในระดับหนึ่งเท่านั้น ข้อดีของการเคลือบซิลิโคนนั่น แน่นอนว่าคือราคาที่ย่อมเยากว่าการเคลือบแก้ว และมีคุณสมบัติอย่างอื่นเช่น ช่วยเพิ่มระดับการปกป้องผิวสีรถจากฝุ่น, ความร้อน, และมลภาวะต่างๆ โดยสามารถปกป้องผิวสีรถยนต์จากรังสี UV ทนความร้อนได้ถึง 600°C และมีอายุการใช้งานประมาณ 1-1.5 ปี ในการเคลือบ 1 ครั้ง[2] สำหรับข้อเสียนั้นก็คือ ชั้นของการเคลือบซิลิโคนไม่ได้แข็งแรงเท่ากับการเคลือบแก้ว และแน่นอนว่าไม่สามารถป้องกันความเสียหายจะการกระแทกของสะเก็ดหินได้มากเท่าการติดฟิล์ม
การเคลือบแก้ว (Glass Coating) ดียังไง
สำหรับการเคลือบแก้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ หากคำนึงถึงทั้งประโยชน์ด้านความเงางามของตัวรถ และการปกป้องด้วย เนื่องจากคุณสมบัติของส่วนประกอบหลักที่นำมาเคลือบนั้น คือ ซิลิกา (Silica) ที่มีคุณสมบัติในด้านให้ความเงางามและความแข็งเหมือนแผ่นกระจก ดังนั้นการเคลือบแก้ว ก็จะครอบคลุมหลายด้าน ทั้งสามารถลดปัญหาคราบเปื้อนต่างๆ ทั้งยางมะตอย มูลนก คราบหยดน้ำ ฝุ่นต่างๆที่เกาะตัวรถและทำลายผิวรถ ช่วยให้สีผิวรถไม่ซีดจางจากรังสี UV ลดการเกิดรอยขนแมว โดยสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 1300°C ซึ่งสูงกว่าการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดและยังไม่สะสมความร้อนบนผิวสีรถยนต์ มีระยะการใช้งานที่ยาวนาน 5-10 ปี[3] (อาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในน้ำยาเคลือบแก้วของแต่ยี่ห้อ) รวมถึงทำให้การทำความสะอาดรถเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ใช้น้ำเปล่าล้าง และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดก็ได้รถสะอาดเงางามเหมือนใหม่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น โดยปกติแล้วการเคลือบแก้วมักจะให้บริการเป็นแพ็คเกจ 3-5 ปี แตกต่างกันในแต่ละผู้ให้บริการ ซึ่งจะมีบริการการบำรุงรักษาเคลือบแก้วในทุก 3-6เดือนเพื่อบริการเคลือบซ้ำบนชั้นเคลือบแก้วที่อาจเสื่อมสภาพไปในชั้นบนสุด หรือบางรายอาจให้บริการขัดเก็บรอยบนตัวรถด้วยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าของรถสามารถมั่นใจได้ว่ารถของเรานั้นจะเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ส่วนในเรื่องราคาของการเคลือบแก้วในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าไม่ได้สูงมาก เนื่องจากในปัจจุบัน มีคู่แข่งในตลาดจำนวนมากขึ้น ราคาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว สำหรับข้อด้อยของเคลือบแก้วนั้นก็คือ จะไม่สามารถปกป้องจากการกระแทกจากสะเก็ดหินมากเท่าการติดฟิล์ม
หมดปัญหาเรื่องหยดน้ำเกาะ จนกัดสีผิวรถยนต์
ทำความสะอาดง่ายเพียงล้างน้ำเปล่าและใช้ผ้าเช็ด
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว
เนื่องจากการเคลือบสีรถอย่างการเคลือบแก้วนั้น เพิ่งนำเข้ามากันได้ไม่นานและยังไม่เป็นที่รู้จักทั่วไปในประเทศไทย ดังนั้นบางคนอาจจะยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการเคลือบแก้ว เช่น หากเคลือบไปแล้ว เมื่อใช้ไปจนหมดอายุการใช้งาน โดยไม่ได้เคลือบซ้ำ สีรถจะเพี้ยน เป็นรอยด่างๆไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่จริงเลย การเคลือบแก้วนั้น เมื่อหมดอายุการใช้งาน ก็ไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆต่อสีผิวรถแต่อย่างใด เนื่องจากการเคลือบแก้วนั้น เป็นชั้นผิวที่เราเคลือบทับลงไปเพื่อปกป้องสีจากสีจริงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่หมดสภาพก็คือชั้นที่เราเคลือบลงไป ไม่ได้สีผิวรถจริงแต่อย่างใด
นอกจากความเข้าใจเกี่ยวกับจำนวนชั้นเคลือบที่น้อยกว่า หรือแม้กระทั่งจำนวนไมครอน (หน่วยวัดความหนา โดย 1,000มิลลิเมตรเท่ากับ1 micron) ของการเคลือบที่ว่า ยิ่งชั้นเคลือบหนา ยิ่งดี ยิ่งสวยนั้น ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดเช่นกัน เนื่องจากหากชั้นเคลือบมีความหนา เมื่อแสงจากภายนอกตกกระทบบนผิวรถ เนื่องจากชั้นผิวมีความหนามาก ก็จะทำให้สีที่สะท้อนออกไป รวมถึงมิติจากตัวรถก็จะเพี้ยนจากสีจริงและไม่สวย
อีกทั้งยังมีบางคนที่เข้าใจผิดว่า การดูแลรถจะยากขึ้นเมื่อเราเคลือบแก้ว ซึ่งไม่จริงแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การเคลือบแก้วจะทำให้การดูแลรักษาง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่การล้างที่อาจจะล้างโดยใช้น้ำเปล่าก็พอ หรือหากต้องการใช้แชมพู ก็ควรใช้แชมพูที่มีค่า pH เป็นกลาง ร่วมกับอุปกรณ์เช่น ฟองน้ำ หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ก็เพียงพอแล้ว
ความเข้าใจผิดอีกอย่างก็คือ การเคลือบแก้วนั้นเหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น ซึ่งไม่จริงเลย ไม่ว่าจะรถเก่าหรือรถใหม่ก็สามารถเคลือบแก้วได้เช่นกัน ยิ่งหากเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว หลังจากการขัดรอยและเคลือบแก้วไปแล้วจะเห็นความแตกต่างในเรื่องความเงางามของรถได้ชัดกว่ารถใหม่เสียอีก
หรือบางคนอาจจะอยากให้รถมีความเงาฉ่ำมากขึ้น จึงอยากนำไปเคลือบแวกซ์ซ้ำหลังการเคลือบแก้ว ความจริงแล้ว การเคลือบแวกซ์ซ้ำหลังการเคลือบแก้วแล้ว ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อชั้นสีผิวรถยนต์เนื่องจากมีชั้นเคลือบแก้วอยู่ระหว่างงานเคลือบแวกซ์และชั้นสีรถจริงอยู่แล้ว แต่จะส่งผลกระทบโดยทำให้การเกาะตัวของฝุ่นหรือคราบต่างๆเป็นไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์แวกซ์มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบนั่นเอง
[1] งานวิจัยโดย Carroll Scientific, Inc., สหรัฐอเมริกา
[2] งานวิจัยโดย SBRAND ประเทศญี่ปุ่น
[3] งานวิจัยโดย SBRAND ประเทศญี่ปุ่น
เคลือบสีรถแบบไหนคุ้มที่สุด?
เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของการเคลือบในแต่ละประเภทแล้ว จะเห็นได้ว่าในระยะยาวแล้ว ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดคือการเคลือบแก้วที่ได้ทั้งการปกป้องและความสวยงามของตัวรถ แต่หากต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายด้วยเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียวแล้วไม่สะดวกแล้ว การเคลือบซิลิโคนก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจรองลงมาจากการเคลือบแก้ว ส่วนการแวกซ์ทั้ง 2 ประเภท ทั้ง คาร์นูบาร์ แวกซ์ และโพลิเมอร์ ซิลแลนท์ ต่างก็มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ค่อนข้างถูกและสบายกระเป๋าทั้งคู่ แต่ก็อย่าลืมว่าคุณจำเป็นต้องล้างทำความสะอาดและขัดเก็บรอยรถบ่อยขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากใช้ไปในระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายแตกต่างจากการเคลือบประเภทซิลิโคนหรือเคลือบแก้วเป็นจำนวนมากเลยทีเดียวระเป๋าทั้งคูู่กมางถูกมากอนข้างถูกมากอเทียบกับการเคลือบประเภทอื่นในท้องตลาด้รับการบำรุงรักษาเป็นประจำๆ แต่หากเจ้าของรถท่านใดที่ต้องการการปกป้องจากสะเก็ดหินอย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวแล้วละก็ ฟิล์มใสกันสะเก็ดหินคุณภาพสูงเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่มี ณ ตอนนี้ แต่ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดเช่นกัน
การเคลือบสีรถประเภทไหนที่เหมาะกับเราที่สุด
การติดฟิล์มใสกันสะเก็ดหิน
เน้นการปกป้องจากสะเก็ดหินเพียงอย่างเดียว
ไม่ได้เน้นเรื่องความเงางามของตัวรถ
เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน
มีงบประมาณสูง
การแวกซ์
เน้นแค่ความเงาฉ่ำของผิวสีรถเท่านั้น
ไม่ได้เน้นเรื่องการปกป้องจากมลภาวะเท่าไหร่นัก
มีเวลาในการขัดและเคลือบแวกซ์อยู่บ่อยๆ
มีงบค่อนข้างจำกัดต่อครั้ง
การเคลือบซิลิโคน
ต้องการทั้งความเงางาม ใสเหมือนกระจกรองมาจากการเคลือบแก้ว
ต้องการการปกป้องสีรถจากมลภาวะ
เน้นการดูแลรักษาและทำความสะอาดที่ง่าย
เน้นอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนาน 1-1.5 ปี
มีงบประมาณปานกลางในการเคลือบสีรถ
การเคลือบแก้ว
ต้องการทั้งความเงางาม ใสเหมือนกระจก
ต้องการการปกป้องสีรถจากมลภาวะ
เน้นการดูแลรักษาและทำความสะอาดที่ง่าย
ต้องการบริการดูแลรักษาจากผู้ให้บริการอยู่เสมอๆ
เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน และคุ้มค่า
มีงบประมาณค่อนข้างสูง
โดยสรุปแล้วการเคลือบขัดสีผิวรถยนต์มีอยู่หลายประเภท ซึ่งเหมาะกับเป้าหมายการใช้งานที่แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าในงบประมาณที่ต่างกันด้วย หากใครรู้ตัวว่าต้องการความแข็งแรง เพื่อปกป้องผิวรถโดยเฉพาะเท่านั้น ก็เหมาะกับการติดฟิล์มป้องกันรถ แต่ถ้าต้องการความสวยเหมือนใหม่ตลอดเวลาแล้ว หากมีงบที่ค่อนข้างสูง ก็อาจจะเลือกการเคลือบแก้ว หากมีงบปานกลาง ก็อาจจะใช้การเคลือบโดยซิลิโคน หรือหากมีงบที่จำกัด แต่ยังเน้นที่ความเงางาม ก็อาจจะเลือกใช้การแวกซ์ แต่ก็ต้องยอมรับในผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อสีผิวในระยะยาวด้วยเช่นกัน
จะเคลือบแก้วที่ไหนดี เคลือบแก้วแต่ละที่นั้นต่างกันยังไง
สุดท้ายแล้ว หากคุณต้องการความเงางามของตัวรถควบคู่ไปกับการปกป้องในระดับหนึ่ง ถึงแม้การเคลือบแก้วจะถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ แต่เนื่องจากการบริการเคลือบแก้วในปัจจุบันมีอยู่เยอะมาก ทำให้ทั้งเคลือบแก้วแท้และไม่แท้ปะปนกัน (ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพผลิตภัณฑ์และอายุการใช้งานย่อมแตกต่างกัน) ดังนั้นแล้ว การเลือกซื้อบริการเคลือบสีรถประเภทใดหรือตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการจากหลายๆปัจจัย แทนที่เราจะเน้นที่ราคาถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว เราควรศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือน้ำยาที่ผู้ให้บริการเลือกใช้ ความชำนาญของผู้ให้บริการ หรือแม้กระทั่งการเตรียมพื้นผิวรถยนต์ก่อนลงการเคลือบสี เนื่องจากการขัดผิวรถนั้นส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงานเคลือบที่ออกมา และสุดท้ายแล้ว สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเคลือบแก้วที่มีการขายเป็นแพ็คเกจนาน 3-5 ปีแตกต่างกันออกไปนั้น เราควรจะคำนึงถึงการบริการหลังการขายที่มีการบำรุงรักษาในทุกๆ 3-6 เดือน รวมถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของแบรนด์เป็นหลักด้วยเช่นกัน เพราะเราซื้อเคลือบแก้วทีละ 3-5 ปี หากร้านนั้นปิดกิจการไปก็แน่นอนว่าเราก็ต้องทิ้งเงินไปเปล่าๆ
ตัวอย่างงานขัดที่ดี
More informaiton: SIAM SBRAND
02-721-3111 (สาขาศรีนครินทร์)
02-612-5437 (สาขาปทุมวัน)
ขอขอบคุณ ที่มา ข้อมูล นะคะ
งานขัดที่ไม่มีคุณภาพ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)