วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การแก้ไข ปัญหาความร้อน ในรถยนต์ แบบ สมบูรณ์

1.  ล้างหม้อน้ำ  หรือเปลี่ยนหม้อน้ำ

2. เช็คน้ำยาฟรีปัีมพัมลมด เติมของแท้ และ ใบพัดลมต้อง ตามแบบ ตามรุ่น หรือเปลี่ยนใหม่ แท้ของปลอมใบพัดลมจะอ่อน ลู่ลม  ใช้ได้ไม่ดี

3. เทอร์โมสตัทจะต้องเปลี่ยนทุกครั้งที่ล้างหม้อน้ำเพราะมันมีอายุการใช้งานได้ไม่นาน ตัวละร้อยกว่าบาทไม่แพงเกินกว่าจะซื้อ และให้ดูอุณหภูมิเปิดที่ด้านข้างด้วย ไม่ให้เปลี่ยนไปแบบสูงเกินหรือร้อนเกิน ของเดิมๆดีทีสุด 

4. ปั้มน้ำต้องเปลี่ยนทุกครั้งที่เปลี่ยนสายพานำไทม์มิ่ง หรือทุกแสนกิโล ใบปั้มเดิมๆจะเป็นเหล็กใช้ได้ไม่นานก็เกิดคราบสนิมและใบกุดเป็นช่วงๆจากการเกิด Cavitation ของระบบท่อ จะใม่ให้เกิดต้องใส่ Escentric maniflow แต่เครื่องยนต์มันดูดตรงจากเสี้อเครื่อง เลยต้องทนกันการเกิด Terbulance ของหน้าใบปั้มให้กุดแบบนี้

5. ฝาหม้อน้ำก็สำคัญ การเก็บแรงดันไม่ให้น้ำเดือดก่อนจะระบาบความร้อนสำคัญมาก เพราะถ้าน้ำชิงเดือดก่อนที่จะเข้าหม้อน้ำ การหล่อเย็นจะไม่สมบูรณ์ จะมีฟองอากาศมาเป็นตัวกั้นบางๆระหว่างน้ำกับโลหะ ให้ใช้ของแท้อีกเช่นกันอันละสองร้อยกว่าบาท ของเทียมอันละ 60บาทอย่าไปคบกับมันเป็นอันขาด


ร่องระหว่าฝาบังลมและหม้อน้ำต้องอุดให้ดี ใฃ้ท่อยางกันความร้อนแอร์ก็ได้ยัดไม่ให้ลมหนีออกโดยไม่ผ่านแผงแอร์ด้านหน้า กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว แอร์จะพลอยเย็นไปด้วย

6.  บังลมต้องอยู่ในสภาพดี ใบพัดที่หมุนอยู่ต้องไม่มีลมรั่วให้เปลืองพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ลมทุกหยาดหยดต้องโดนถึงผ่านหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อน ลมรั่วมากก็จะระบายออกจากหม้อน้ำไม่ดี

ของเดิมเสียแล้วหรือหมดสภาพบิดเบี้ยวเสียรูปจากช่างสมองลิงมันไม่รักษาของให้เราตอนถอดใส่ ก็ไปเดินหาจากหัวตัดของนอกมาใช้จะดีกว่าไปจ้างร้านตีใหม่หลายขุม

7.  พัดลมที่ใช้เสริมแผงแอร์ก็ช่วยให้หม้อน้ำเย็นลงได้ ถ้าของเดิมยันหมุนอ่อนแล้วก็เปลี่ยนใหม่ไปเลยเอาลูกโตสักนิดแต่ใบเท่าเดิม

ลูกโตคือมอเตอร์โตนะครับ มอเตอร์เล็กแต่ใบโตไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการระบายความร้อนของเครื่องดีเซล แบบนั้นให้พวกรถเก๋งเบ็นซินเอาไปใช้จะดีกว่า




 ลูกนี้แรงแน่นอน หม้อน้ำรถเครื่องขับล้อหน้าใช้ลูกเดียวยังเย็นดี พัดลมแบบนี้จะมีสามความเร็ว ให้ต่อตรงที่ความเร็วสูงสุดได้เลย

ลูกนี้ของรถอิตาลีเอามาใส่กับปาเจโรแล้วแอร์เย็นลมทะลุไประบายความร้อนถึงหม้อน้ำด้วย แต่หนวกหูมาก ยืนหน้ารถเสียงพัดลมหมุนดังเกือบกลบเสียงเครื่อง

8.  พัดลมเล็กของแอร์ไม่ต้องใหญ่มาก เอาขนาดเดิมๆก็พอแล้ว ถ้าเกิดร้อนแบบสาหัสรถติดตอนบ่ายก็เปิดพัดลมใหญ่ช่วย ทั้งแอร์ทั้งเครื่องจะเย็นลงสู่ระดับปกติ 

ขยับ Oil cooler มากินลมของพัดลมแอร์ด้วยก็จะดีมาก เพราะตอนรถจอดนิ่งๆจะได้ลมจากพัดลมช่วยด้วยอีกแรง 

ระบบระบายความร้อนของลูกสูบ ก้านสูบ ข้อเหวี่ยงไม่ได้ใช้น้ำระบาบความร้อนนะครับ อย่างเข้าใจผิด ระบบจะใช้น้ำมันเครื่องช่วยระบายความร้อนล้วนๆ ถ้าไม่ระบายความร้อนออกจาก Oil cooler ให้ดี อาจจะสร้างความเสียใจอย่างใหญหลวงให้เจ้าของรถได้ง่ายๆ 

อย่ามองข้าม Oil cooler เป็นอันขาด ต้องให้ลมวิ่งผ่านตอนรถจอดติดไฟแดงนานๆด้วยจะดีมาก


9.  ดูแลความเรียบร้อยของรูรั่วต่างๆทั้งอากาศทั้งของเหลวให้อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบทุกสัปดาห์ แล้วอากาศร้องแบบในกรุงเทพฯตอนบ่ายๆจะทำอะไรรถไม่ได้เลย 

ต่อให้อัดแช่เป็นร้อยก็ยังเย็นสบายดีทั้งคนทั้งรถ

10. สิ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ร้อนแบบนึกไม่ถึงคือท่อไอเสีย 



อีกจุดที่อย่ามองข้ามโดยเด็ดขาดคือหม้อพัก ถ้าใส้ล้มไอเสียจะอั้น รถจะร้อนและวิ่งไม่ออก ท่อเล็กกว่า สองนิ้วครึ่ง จะเป็นต้นเหตุให้เครื่องร้อน 

ท่อที่ดีต้องสองนิ้วครึ่งเป็นอย่างต่ำ หม้อพักเป็นใส้ตรงใบใหญ่ที่สุดหรือใส้เยื้องถ้าอยากให้เงียบสักหน่อย แต่ถ้าไม่แน่ใจต้องใหญ่ไว้ก่อนแล้วจะดีเองตอนใช้งาน 



ถ้าทำได้ตามนี้แล้วเครื่องจะเย็นลงผิดหูผิดตา

11.   ปั้มหัวฉีดเป็นสาเหตุของความร้อนด้วยแบบคิดไม่ถึง ถ้าไปปรับให้จ่ายน้ำมันน้องลงเกินกว่าปกติ แบบไหนที่เรียกว่าปกติ 

แบบที่ปกติก็คือน้ำมันจะเผาไหม้หมดตามจำนวนอากาศที่มีอยู่ในห้องเผาไหม้พอดี แต่แบบนี้ปรับลำบากเพราะเผาแล้วยังมีอากาศเหลือ กับเผาแล้วพอดี จะเหมือนกันคือไม่มีควันเหลือ ดังนั้นช่างที่ชำนาญจะปรับให้มีควันอ่อนๆจางๆออกมาให้มีน้ำมันเหลือเล็กน้อยนับว่าเป็นแบบปรับพอดี 

แต่ช่างบางคนจะปรับแบบประหยัดตามใจลูกค้า ที่เน้นประหยัดโดยจ่ายน้ำมันให้น้อยกว่าอากาศ โดยจะบอกกับลูกค้าว่า แรงจะตกเล็กน้อยแต่ประหยัดสุดๆเลยเพ่.. ปรับแบบนี้เครื่องร้อนครับ เพราะเปลวของการเผาไหม้จะเรียกว่า Oxidation Flame เป็นการเผาไหม้ที่ออซิเจนมากกว่าเชื้อเพลิง ความร้อนจะสูงมากการเผาไหม้จะลุกอย่างรวดเร็วจนลูกสูบยังไม่ทันจะลงเกือบสุดก็เผาเชื้อเพลิงหมดครึ่งทางไปเสียแล้ว 


ความร้อนที่เกิดขึ้นมันจะทำให้รถตัวร้อนไข้ขึ้นกว่าปกติแบบเห็นได้ชัด 

อีกอย่างก็คือตั้งตำแหน่งฉีดน้ำมันช้าเกินไป บางคันตั้งให้ฉีดตอนลูกสูบเลื่อนพ้นจุดศูนย์ตายบนไปแล้วก็ยังมี บางร้านจะชอบตั้งให้รถพวก DI ฉีดช้าลงนิดเพื่อให้เกิดความนุ่มมวล โดยเฉพาะ อีผุผุ ถ้าตั้งให้เสียงเงียบ เครื่องนิ่มได้จะถูกมองว่าเก่งที่สุดเป็นยอดช่างปั้มในจักรวาลนี้ 

แต่ทำแบบนี้การจุดระเบิดจะไม่รุนแรงเพราะลูกสูบมันเลื่อนขยายปริมาตรของห้องเผาไหม้ให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด แรงดันของการเผาไหม้กับปริมาตรของห้องที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาของการเลื่อนลงไม่ได้สร้างแรงดันสูงสุดเท่าที่มันควรจะเป็น แรงจะตกพลังงานไม่ได้เปลี่ยนเป็นพลังงานกลไปหมุนข้อเหวี่ยงตามที่ควรจะเป็น มันจะเป็นความร้อนไปเสียเปล่าๆ 


เครื่อดีเซล วิ่งนิ่งๆเงียบๆ คือเครื่องไม่มีแรงครับ อย่าคิดว่าแต่งมาดีกว่าคันอื่น 

พวกมือบอนก็เหมือนกัน ปรับแล้วควันน้อย ปรับแล้วเครื่องนิ่มขึ้น ปรับเก่งกว่าร้านปรับให้เสียอีก ฮูย...เก่งจริงๆ 

จบด้วยเครื่องร้อน โทรมาหาว่าจะทำอะไรดีครับพี่วอน ผมล้างหม้อน้ำมาสามรอบแล้วก็ยังไม่หายร้อน 

โธ่..ก็ไปซนกับปั้มหัวฉีดขยับโน่นนิดหมุนตรงนี้หน่อย แล้วต่อให้เบิ้ลขนาดหม้อน้ำขนาดใหญ่แบบรถ ปารีส-ดักกา ของพรสวรรค์ก็ยังไม่เย็นหรอกครับ 

แถมอีกนิดสำหรับคอประหยัด ถ้าจะถามว่าดีเซลมีระบบจ่ายน้ำมันบางแบบ VTEC LEV หรือเปล่า ตอบว่ามีครับ เครื่องไม่ร้อนแบบปรับปั้มกลไกให้จ่ายน้ำมันแบบบางกว่าปกติด้วย 


พวกคอมมอนเรลที่บอกว่าประหยัดน้ำมัน เพราะฉีดน้ำมันน้อยมากให้เผาไหม้แบบไม่มีควันเรียกว่า Pilot Flame จึงต้องฉีดน้ำมันซ้ำเป็นครั้งที่สองตอนสูบเลื่อนลงมานิดหนึ่งอีกครั้งก่อนเปลวแรกจะดับ และฉีดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สามให้สูบเลื่อนลงมาจนสุดทาง หัวฉีดของ Bosch และ Nippon-Denso สามารถฉีดได้ถึงห้าครั้งก่อนสูบลงสุดแบบสบายๆ แต่ตอนนี้ รถญี่ปุ่นทั่วไปที่ขายในบ้านเราโปรแกรมถูกตั้งไว้แค่สามครั้งในรอบต่ำ ที่รอบสูงครั้งเดียวจบเหมือนปั้มกลไกเพราะตอนรอบสูงๆนั้นวิ่งอย่าไรไม่มีควันออกตูดแล้ว ถ้าจะเอากำลังเต็มเม็ดเต็มหน่วยฉีดสามครั้ง ต้องใช้หัวฉีดที่คุณภาพดีกว่าหัวฉีดมาม่าหมูสับตัวที่ติดรถตัวขายตอนนี้ ของมันแพงต้องลดคุณภาพกันหน่อย 

12.  อีกสาเหตุหนึ่งของโรคตัวร้อนเป็นไข้ คือ Over Load 

พวกล้อโตทั้งหลายถ้าไม่ทดเฟืองท้ายช่วยให้ใกล้กับของเดิมๆจะตัวร้อนทุกราย เนื่องจากเครื่องรับภาระมากเกินไป 

ขอบคุณที่มา  จาก von Richthofen



ความร้อนของเครื่องยนต์ ตอน 1- ตอน 2

ความร้อนของเครื่องยนต์ และวิธีแก้ไข (ตอนที่ 1)


ปกติคนชอบเข้าใจผิดว่า เครื่องต้องเย็นจึงวิ่งได้ดีขึ้น อยากให้ระดับความร้อนต่ำๆ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดมากครับ

ผมขอเปรียบง่ายๆ กับร่างกายมนุษย์นะครับ คนเราเวลาจะออกกำลังกาย ต้องวอร์มอัพก่อน ถึงแม้เวลาวอร์มอัพแล้ว ก็ใช่ว่าจะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้คล่องตัวที่สุด จริงๆแล้วต้องให้ร่างกายร้อนได้ระดับหนึ่ง จะทำให้เราคล่องตัวที่สุด แต่ร้อนระดับนั้น เราจะต้องเสียเหงื่อมาก จึงต้องได้น้ำมาช่วยชดเชยน้ำในร่างกายที่เสียไป และช่วยลดระดับความร้อนในร่างกายที่จะมากเกินไป เกินขีดจำกัดที่ร่างกายรับไหว

เครื่องยนต์ก็เช่นเดียวกันครับ เครื่องยนต์ต้องการความร้อนที่คงที่ครับ อยู่ที่ระดับ 87-92 องศาเซลเซียสครับ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีที่สุด ถ้าต่ำกว่านี้ก็ไม่ดีครับ แต่ถ้าสูงกว่านี้ เครื่องก็พังได้ครับ จึงต้องมีหม้อน้ำมาช่วยระบายความร้อนครับ โดยมีวาล์วน้ำ เป็นตัวกักน้ำให้อยู่ในอุณหภูมิที่คงที่ หมายถึงว่า 87 - 92 องศา วาล์วจะเปิดให้น้ำร้อนระบายออกเข้าหม้อน้ำ แล้ว น้ำที่มีความเย็นในหม้อน้ำจะไหลเข้าเครื่องเพื่อระบา ยความร้อนของเครื่อง ถ้าความร้อนลดลงต่ำกว่าระดับ 87 องศา วาล์วน้ำก็จะปิดกักน้ำเอาไว้ครับ (จริงๆแล้วยังมีน้ำมันเครื่องอีกตัวหนึ่งที่นอกจากช่วยหล่อลื่นแล้ว ก็เป็นตัวช่วยระบายความร้อนเช่นกันครับ)

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า ทำไมเปิดพัดลมหลายตัวแล้ว ความร้อนของเครื่องจึงไม่ลดลง คำตอบก็คือว่า วาล์วน้ำเป็นตัวกักน้ำเอาไว้ จนกว่าความร้อนเกินระดับจึงจะมีการระบายออกครับ (เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าเกิดกรณีความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ทั้งๆที่พัดลมระบายหม้อน้ำทำงานดีอยู่ จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า วาล์วน้ำทำงานผิดปกติ ไม่ยอมเปิดระบายน้ำร้อนออกมาที่หม้อน้ำเมื่ออุณหภูมิ สูงเกินระดับปลอดภัยครับ)

สมัยก่อนนี้ มีช่างไทยชาวบ้านบางคน เข้าใจผิดคิดว่าวาล์วน้ำไม่มีประโยชน์อะไร จึงเอาออก เพื่อให้ระบบไหลเวียนของน้ำดีขึ้น จริงๆแล้วเป็นการเข้าใจผิดครับ ดังที่อธิบายไว้เบื้องต้น ผลเสียของการเอาวาล์วน้ำออก ก็คือว่า ทำให้เครื่องยนต์ ร้อนช้า (ตอนเครื่องเย็น) แหวนลูกสูบขยายตัวยังไม่ได้เต็มที่ ทำให้กินน้ำมันเครื่อง และกำลังเครื่องตกลงด้วยครับ และมีโอกาสทำให้เครื่องสึกหรอง่าย เพราะว่าคนขับจะเหยียบเร่งกำลังเครื่องขึ้น ทั้งๆที่ เครื่องไม่พร้อม เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยครับ


มีบางถามกลับมาว่า "แล้วอุณหภูมิความร้อนของเครื่องไม่ควรร้อนเกินเท่าไหร่..ครับ..จะได้ระวัง"

บอกเป็นตัวเลขตายตัวลำบากครับ เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่เข็มความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ อย่างไม่มีเหตุผล
ควรพึงระวัง โดยชะลอรถ หยุดข้างทาง (ไม่ใช่ดับเครื่องนะครับ) ดูอาการความร้อนให้ค่อยๆลดอุณหภูมิลง ระหว่างรอก็พยายามหาสาเหตุไปด้วย (มองเฉยๆ มืออย่าไปแตะส่วนที่เครื่องยนต์หรือระบบหม้อน้ำ เพราะว่าร้อนจัด) พอเครื่องลดอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติลงแล้วค่อยดับเครื่อง แก้ไขในส่วนที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการร้อนผิดปกติ ครับ จากนั้นค่อยวิ่งรถต่อครับ

สาเหตุสามัญที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นสูงผิดปกติ ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน 

1.เกิดการผิดปกติของวาล์วน้ำ เช่นค้าง หรือไม่ยอมเปิด

2.น้ำในหม้อน้ำมีไม่พอ ระบายความร้อนครับ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรั่วของท่อยางที่เสื่อมคุณภ าพ หรือรั่วตามข้อต่อ หรือรั่วที่หม้อน้ำเอง หรือฝาหม้อน้ำชำรุด หรือรั่วที่ตัวเครื่องยนต์

3.หม้อน้ำตัน ทำให้การระบายน้ำระบายความร้อนไม่ดีพอครับ

4.พัดลมระบายความร้อนที่หม้อน้ำ ชำรุด เช่น พัดลมไฟฟ้าไม่หมุนหรือหมุนเบา หรือน้ำมันฟรีปั๊มหมดทำให้พัดลมหมุนช้าหรือไม่หมุน

5.ฝาหม้อน้ำชำรุด ฝาหม้อน้ำจะมีสปริงวาล์วอยู่ภายในคอยปรับแรงดันน้ำให ้ระบายออกไปถ้าเกิดความร้อนจัด (ความร้อนจัดแรงดันน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆ)

6.หม้อน้ำไม่ได้สัดส่วนเหมาะสมกับเครื่องยนต์ ส่วนใหญ่เกิดกับคนที่ดัดแปลงเปลี่ยนขนาดของเครื่องยน ต์ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบระบายความร้อน 

7.เหตุผลต่อเนื่องจากข้อ 6 คือว่า ขับรถใช้งานเครื่องเกินกำลังที่เคยใช้จากปกติ เช่น เดิมเคยขับความเร็วปกติอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยมีความผิดปกติของความร้อนขึ้น แต่วันดีคืนดี เกิดอยากขับรถเร็วมากๆนานๆ หรือ ขึ้นเขาสูงชัน ความร้อนก็อาจจะขึ้นได้ชั่วคราว เนื่องจาก หม้อน้ำระบายความร้อนที่อยู่ในรถ เตรียมขนาดเอาไว้สำหรับขับปกติ (ไม่ได้เผื่อขนาดของหม้อน้ำไว้สำหรับใช้งานหนัก กรณีเช่นนี้ หมายถึงผู้ใช้รถบางท่านได้ทำการเปลี่ยนขนาดหม้อน้ำ ด้วยสาเหตุว่าหม้อน้ำเดิมชำรุดเกินกว่าจะแก้ไข แล้วหาขนาดหม้อน้ำเดิมไม่ได้จึงเปลี่ยนใช้ขนาดลดลง หรือจะด้วยสาเหตุอื่นๆ อีกมากมายครับ)



ย่อหน้าที่แล้วผมเล่าถึงการที่ให้หยุดรถข้างทาง(อย่าดับเ ครื่องทันที) เมื่อพบว่าความร้อนขึ้นผิดปกติ โดยรอให้ความร้อนลดลงถึงระดับปกติเดมที่เคยใช้ก่อนค่ อยดับเครื่องนั้น เพื่อป้องกันอาการช๊อคของเครื่องยนต์ เพราะว่า เครื่องยนต์ที่ร้อนจัดนั้น โลหะต่างๆยืดขยายสูงมาก อยู่ๆดับเครื่อง จะมีการหดตัวของโลหะบางอย่างจนทำให้เครื่องยนต์พังได ้ เช่น วาล์วคด ฝาสูบโก่ง เป็นต้น

อาการดังกล่าวถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์นั้น ได้กับ การออกกำลังกายจนเกิดความร้อนถึงขีดสุด แล้วหยุดออกกำลังกายทันที รีบกินน้ำเย็น พวกนี้ จะมีผลกระทบต่อระบบหัวใจโดยตรงครับ ใครที่เป็นโรคหัวใจอยู่บ้าง อาจจะช๊อคตายได้เลยครับ จริงๆแล้วต้องค่อยๆลดการออกกำลังกายให้อุณหภูมิในร่า งกายลดลงระดับที่ร่างกายรับได้ก่อนครับ


แต่ยังมีมีอีกความคิดเห็นของอีกผู้หนึ่ง ว่ากรณีหนึ่ง ที่ไหนๆก็พังแน่อยู่แล้ว ก็ไม่ควรให้พังมากขึ้นไปอีก ดังต่อไปนี้ครับ

ถ้ากรณีน้ำหม้อน้ำรั่วออกจากระบบแล้วไม่เหลือน้ำในหม้อน้ำเลย ก็ควรดับเครื่องทันทีครับ ไม่ดับก็ยิ่งร้อนแล้วจะยิ่งพังครับ แล้วห้ามเติมน้ำเข้าไปทันทีด้วย ต้องรอเครื่องเย็นก่อนถึงเติม ไม่งั้นฝาโก่งทันทีครับ (กรณีดังกล่าวส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ขับรถ ขับรถด้วยความเร็วสูง และลืมสังเกตุเกจ์ระดับความร้อนที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงขีดสุดครับ) แต่กรณีอัดมาร้อนๆไม่ควรดับทั้นทีครับ เพราะการเดินเบาไว้มันจะช่วยระบายครับ แต่ถ้ายิ่งเดินเบาไปก็ยิ่งร้อนก็รีบดับดีกว่าคร ับ และบางทีพัดลมเสีย น้ำพร่อง การปิดแอร์ก็ช่วยให้เครื่องหายร้อนได้ครับ

**************************************

กรณีที่เกิดความร้อนสูงขึ้นผิดปกติ แล้วให้เข้าข้างทางหยุดรถ เพื่อให้เครื่องระบายความร้อนไปก่อน และตรวจหาสาเหตุของความร้อนขึ้นไปในตัวนั้น ผมได้กล่าวถึงว่า อย่าไปแตะต้องกับหม้อน้ำ หรือฝาหม้อน้ำนั้น สาเหตุมาจากความร้อนที่ขึ้นสูง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ แต่จริงๆแล้ว ถ้าต้องการดู ระดับน้ำในหม้อน้ำ ก็สามารถดูได้จากระดับหม้อพักน้ำ(พลาสติค) ว่าพร่องลงไปขนาดไหน ถ้าในหม้อพักน้ำไม่มีเหลือเลย ก็สามารถตรวจสอบดูที่หม้อน้ำอย่างระมัดระวังได้ครับ โดยวิธีทำดังนี้ครับ

หาผ้าหนาๆ หรือผ้าขี้ริ้วผืนใหญ่หน่อยประกบ 2 - 3 ชั้นก็ได้ ชุบหรือราดน้ำให้เปียกชุ่ม โปะลงไปที่ฝาหม้อน้ำ เอามือประกบทับลงบนผ้าจุดที่มีฝาหม้อน้ำอยู่ด้านล่าง ค่อยๆคลายฝาหม้อน้ำทีละนิด ให้แรงดันไอน้ำค่อยๆระบายออกมาทีละนิดๆ จนกระทั่งหมดแรงดัน จึงคลายออกให้สุด จับฝาหม้อน้ำยกขึ้นมาดูน้ำภายในหม้อน้ำได้ครับ

ความร้อนของเครื่องยนต์ และวิธีแก้ไข (ตอนที่ 2)


กรณีเปิดฝาหม้อน้ำดูแล้ว เห็นว่าน้ำในหม้อน้ำไม่มีเลย ในบทความที่แล้ว เขียนบอกว่า อย่าเติมน้ำลงไปทันที โดยต้องรอให้เครื่องเย็นก่อนจึงเติมน้ำได้ เพื่อป้องกันฝาสูบโก่งนั้น

จริงๆแล้ว มีรายละเอียดมากกว่านั้นครับ เพราะว่าเวลาเรามองดูที่หม้อน้ำ (ขณะเครื่องเดินเบาอยู่) ถ้าน้ำพร่องลงไปมาก อาจจะเป็นไปได้ว่า น้ำในระบบยังแห้งไม่หมด เราก็ยังสามารถเยียวยาในขณะนั้นได้เลย แล้วเราจะมีวิธีพิจารณาว่า น้ำในระบบแห้งเหือดหายหมด หรือยังมีอยู่บ้างนั้น จะพิจารณาอย่างไร 

วิธีพิจารณาเบื้องต้น ก็ดูที่ไอน้ำที่ออกมาจากปากหม้อน้ำ ถ้ายังเห็นมีไอน้ำออกมา แสดงว่า ยังมีน้ำในระบบเหลืออยู่บ้าง แต่ถ้า ออกมาน้อยหรือไม่มีเลย แสดงถึงแห้งแน่ครับ

เราก็มีวิธีเยียวยากรณีที่ยังมีน้ำเหลือในระบบบ้าง ดังนี้ครับ ค่อยๆเต็มน้ำลงไปทีละนิดๆ ให้น้ำใหม่ที่เข้าไป ผสมอุณหภูมิกับน้ำเดิมในระบบ ให้ค่อยๆ ลดระบายความร้อนครับ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆเติมทีละนิด แล้วรอซักพัก ประมาณ 30 - 60 วินาที แล้วค่อยเติมอีกนิด แล้วรอ แบบนี้ แล้วค่อยๆเติมมากขึ้นๆ จนกระทั่งเต็มครับ แต่ห้ามเทน้ำเย็นลงไปทันทีทันใดนะครับ ฝาสูบอาจจะโก่งได้ครับ 

กรณีปัญหาของความร้อนเกิดจากการรั่วของระบบนั้น ถ้าเราหาสาเหตุพบ และสามารถแก้ไข ณ จุดนั้นได้เลย ก็แก้ไขไปครับ แต่ในบางกรณี ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือ ได้แค่ปฐมพยาบาล เช่น รั่วที่ท่อน้ำ ก็หาเทปหรือผ้าผูกปิดจุดนั้นให้แน่น (แต่ก็คงยังมีรั่วซึมอยู่) เราก็สามารถน้ำรถไปวิ่งใช้งานต่อได้ หรือขับต่อไปจนไปถึงสถานีบริการซ่อมได้ครับ

เกิดกรณีคำถามที่ว่า "เมื่อมีการรั่วของระบบระบายความร้อนของน้ำเช่นนี้แล้ว ยังจะสามารถวิ่งรถต่อไปได้หรือครับ"

ขอตอบว่า ได้ครับ ตราบเท่าที่เรายังมีน้ำเติมลงไปในระบบครับ

ผมขอเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์นะครับ (อีกแล้ว)
เมื่อก่อนนี้ ระบบการแพทย์ยังไม่ทั่วถึงทุกหนแห่ง ทำให้ชาวบ้านไม่ทราบถึงวิธีการเยียวยา คนที่เป็นโรคท้องร่วง บิด หรือ ร้ายแรงระดับ อหิวาตกโรค ว่าจะทำอย่างไรให้รอดไปถึงโรงพยาบาลให้หมอเยียวยารัก ษาได้ การคมนาคม การสื่อสารก็ไม่ดีพอ ระดับความรู้การศึกษาก็ไม่ดี ทำให้โอกาสผู้รอดชีวิตจากโรคดังกล่าวมีน้อยมาก แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ใครๆก็รู้แล้วว่า สาเหตุที่เป็นโรคท้องร่วง เกิดจากการที่ร่างกายรับสารที่เป็นพิษ หรือมีเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายมีปฏิกริยาต่อต้าน ขับสารหรือเชื่อโรคนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยน้ำที่มีอยู่ในร่างกายเป็นตัวนำพา ดังนั้น ถ้าร่างกายขาดน้ำมากๆ ก็จะเกิดอาการช๊อคตายได้ แต่ถ้าเราสกัดปิดไม่ให้น้ำนำพาสารหรือเชื้อโรคนั้นๆอ อกมา ก็จะเกิดอันตรายต่อร่างกายใหญ่หลวง สรุปว่าตายเช่นกัน 

งั้นจะทำอย่างไรล่ะ วิธีง่ายๆก็แค่ เติมน้ำเข้าไปในร่างกายเรื่อยๆ ให้ระดับน้ำ เข้า = ออก ก็แก้ปัญหานี้ได้ครับ แต่ว่าน้ำในร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่ น้ำเพียวๆนะซิครับ ยังมีเกลือแร่ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ในน้ำด้วย เราก็ควรใช้สูตรเดิมครับ เข้า = ออก คือเติมเกลือแร่และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเข้าไ ปครับ ซึ่งถ้าเราไปโรงพยาบาล คุณหมอหรือนางพยาบาลก็จะเติม สิ่งนี้ (น้ำเกลือ) เข้าไปทางร่ายกายทางเส้นเลือด แต่ถ้าเราอยู่บ้าน เราก็สามารถทำได้โดยวิธี เอาน้ำผสมเกลือแร่ ดื่มเข้าไปครับ เมื่อร่างกายไม่ขาดน้ำและเกลือแร่แล้ว ก็จะไม่อ่อนเพลีย จากนั้นค่อยไปหาหมอให้ตรวจรักษาอีกทีครับ

กรณีตัวอย่างเปรียบเทียบด้านบน ก็สามารถนำมาใช้ได้กับรถยนต์ครับ คือว่า เมื่อคุณรู้ว่ามีการรั่วของน้ำในระบบ คุณก็ควรเตรียมน้ำเอาไว้ในรถ คอยมองระดับความร้อนที่เกจ์ ถ้าเริ่มขึ้นสูงกว่าปกตินิดหน่อย ก็จอดข้างทาง แล้วเปิดฝาหม้อพักน้ำ (ไม่ใช่หม้อน้ำนะครับ แต่ถ้าจะเปิดฝาหม้อน้ำให้ทำตามวิธีที่แนะนำด้านบนครับ) เติมน้ำลงไปจนเต็ม แล้ววิ่งต่อไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนถึงที่หมายปลายทางครับ (กรณีที่ทราบว่ารั่วกระทันหัน ทำให้เตรียมน้ำไว้ไม่มากพอ ก็อาศัยปั๊มน้ำมันข้างทางได้นะครับ)

************************************

กรณีตัวอย่าง

เมื่อก่อนหลายปีแล้วผมเคยเจอคุณน้าท่านหนึ่งขับรถบรร ทุกส่งของ ติดเครื่องยนต์อยู่(เครื่องร้อน) แล้วเปิดฝากระโปรงรถ เติมน้ำลงในหม้อน้ำ 
ผมก็ถามคุณน้าท่านนั้นว่า "น้า..น้า ทำไมต้องเติมน้ำลงในหม้อน้ำแบบนี้ล่ะครับ" 
คุณน้าก็ตอบมาว่า "ปะเกนฝาหม้อน้ำของน้ามันรั่ว เวลาวิ่งรถไปไกลๆ น้ำก็รั่วออกมาทางฝาหม้อน้ำ ทำให้ความร้อนขึ้น ต้องเติมน้ำเป็นพักๆ แบบนี้บ่อยๆแหละหลาน"
ผมก็ได้แต่ อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง ปีต่อมาผมก็เจอคุณน้า ทำแบบนี้อีกแล้ว ด้วยความสงสัยจึงถามคุณน้าไปว่า "คุณน้า ยังไม่ได้เปลี่ยน ฝาหม้อน้ำอีกหรือ น้า"
คุณน้าก็ตอบมาว่า "ฝาหม้อน้ำรุ่นนี้หายากมาก เพราะว่าเป็นรถรุ่นเก่า เวลาก็ไม่มี ต้องส่งของอยู่ประจำเลย ก็อาศัยเติมน้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อน"
ผมก็คิดในใจนะครับว่า "แหม ถ้าเป็นผม ผมจะหาแผ่นยางมาตัดทำปะเกนแปะเปลี่ยนที่ฝาของเดิมที่ ชำรุด ก็สิ้นเรื่อง" 

นี่ก็ผ่านไปหลายปี คุณน้าก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว แต่ตัวอย่างข้างบนที่ผมเล่ามา พอจะเป็นตัวอย่างให้ผู้ใช้รถรู้ว่า การที่เรารู้ว่ารถเรามีการรั่วในระบบระบายความร้อนนั้น ไม่ได้อันตรายอย่างที่คิดเท่าไหร่หรอกครับ

************************************

ที่มา : http://www.clubjz.net/showthread.php?t=19361&page=3

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ระบบความร้อนรถยนต์

ในกรณีที่เข็มวัความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนี้ :

1.ดูระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง

2.เข็มความร้อนขึ้นเมื่อใด?

2.1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง หมดเสีย

2.2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน

2.3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ เย็นเครื่องไม่พอ

2.4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป

วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย

1.ส่วนแสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale

2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน (วาวล์ น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)

หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียวกันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่าความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน honda shop manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm

วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำในหม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ ไม่?

:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้งโดยช ่างผู้ชำนาญ

:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก

หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ

เครดิต : raisaramak.blogspot.com