เทคนิคดูแลรถคู่ใจของคุณ ปัญหาที่ว่าจุกจิกก็จะกลายเป็นแสนจะง่ายดายเมื่อเข้าใจในรถที่ขับ
รู้เรื่องเกียร์กันไปพอสังเขปแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายการตรวจดูสภาพเกียร์ด้วยตนเองก่อนที่จะพาไปหาช่าง ปกติแล้วเกียร์ออโต้ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามปัญหาจุกจิกแบบสามวันดีสี่วันไข้จะไม่ค่อยได้พบเห็นกันยกเว้นแต่ว่าเกียร์ออโต้ลูกนั้นผ่านการซ่อมการดัดแปลงมาหลายครั้งแล้ว
เกียร์ที่ใช้อยู่เป็นประจำตรวจตราดูแลกันตามสมควรกว่าจะเสียเงินซ่อมเกียร์ก็ว่ากันที่หลักแสนกิโลเมตรกันไปแล้ว อย่างไรก็ตามรถที่ใช้มานาน คนใช้รถก็ควรจะรู้วิธีตรวจอาการของเกียร์ด้วยตนเอง
อาการที่บ่งบอกว่าเกียร์จะต้องถึงมือช่างนั้นก็ดูกันไม่ยาก แต่ก่อนที่จะเริ่มตรวจเกียร์ต้องแน่ใจก่อนว่าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์ตามสมควร ระดับน้ำมันเกียร์ต้องอยู่ในปริมาณที่ถูกต้อง หลายคนละเลยที่จะตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์หรือไม่รู้ว่าจะตรวจกันอย่างไรเมื่อไร ผมคงไม่เอามาบอกกล่าวซ้ำอีกแล้ว เริ่มกันที่อาการที่บ่งบอกว่าเกียร์มีปัญหาต้องเข้าหาช่างก็เริ่มกันที่
เข้าเกียร์DหรือR แล้วรถไม่ค่อยอยากจะออกตัว อาการนี้เป็นกันบ่อยเป็นกันมาก หลายคนใจเสียว่าอาการแบบนี้แหละต้องผ่าเกียร์กันแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นกันเสียทั้งหมด เมื่อเข้าเกียร์แล้วรถไม่อยากไป หลายครั้งที่รถขับเข้าไปหาผม ตรวจเจอแต่เพียงว่าน้ำมันเกียร์มีปริมาณน้อยกว่าปกติหรือน้ำมันเกียร์แห้ง
การแก้ไขก็ทำได้ง่ายๆ เพียงเติมน้ำมันเกียร์ (ที่เกรดถูกต้อง) ตามปริมาณตามที่กำหนด เกียร์ก็จะกลับคืนมาใช้งานได้อย่างเดิม มีข้อแม้ว่าเมื่อเติมน้ำมันเกียร์ถูกต้องแล้วต้องเข้าหาช่าง และหาเหตุให้พบว่าน้ำมันเกียร์หายไปไหน หายได้อย่างไร เมื่อพบสาเหตุแล้วก็แก้ไข เท่านี้ เกียร์ลูกนั้นก็จะใช้ได้อีกนาน
เครื่องร้อนแล้วเกียร์อืดเหมือนแรง ตกเกียร์เปลี่ยนช้า ก็ต้องดูที่คุณภาพของน้ำมันเกียร์และที่สำคัญระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เพราะน้ำมันเกียร์จะระบายความร้อนจากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เครื่องร้อน เกียร์ก็จะร้อน เกียร์ร้อนน้ำมันเกียร์คุณภาพก็จะเปลี่ยนไป เมื่อคุณภาพน้ำมันเกียร์เปลี่ยนการทำงานก็จะบกพร่อง(น้ำมันเกียร์ร้อนความข้นใสจะไม่คงที่ถ้าใสมากเกียร์จะลื่นเหมือนรถไม่มีแรง) ก็แก้ไขตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือเครื่องยนต์(เครื่องร้อน)แล้วเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เข้าเกียร์เกียร์กระชากแรงเหมือนมีรถมาชนท้าย ส่วนมากแล้วจะเกิดจากการรั่วการอุดตันภายในเกียร์ โดยเฉพาะสมองเกียร์
ถอดสมองเกียร์ออกล้างทำความสะอาด(งานนี้ไม่จำเป็นต้องยกเกียร์ผ่าเกียร์)เปลี่ยนชุดซ่อมเฉพาะชุดวาล์วบอดี้ ก็แค่นั้นสำหรับอาการนี้
กรณีรถวิ่งแล้วเกียร์หาย(ส่วนมากเกียร์สูงสุดD4หรือD5) เกิดจากการรั่วภายในชุดเกียร์ต้องยกเกียร์ผ่าเกียร์เปลี่ยนชุดซ่อมภายในเกียร์
เกียร์เปลี่ยนช้า(ลากเกียร์)เกียร์เปลี่ยนเร็ว(ไม่มีแรง) ส่วนใหญ่จะเกิดจากการปรับตั้งสายเกียร์(หย่อนเปลี่ยนเร็ว ตึงเปลี่ยนช้า) เข้าเกียร์แล้วรถไม่ออกต้องติดเครื่องทิ้งไว้นาน ชุดผ้าคลัตช์ในเกียร์สึกหรอก น้ำมันเกียร์น้อยไปหรือมากไป ก็แก้ไขกันโดยเริ่มที่ระดับน้ำมันเกียร์และท้ายที่สุดต้องยกเกียร์ผ่าเกียร์ก็ต้องทำกันละถ้าอยากจะใช้ต่อไป
เกียร์ออโต้ว่ากันว่าซ่อมยากซ่อมแพง แต่ถ้าไปพบช่างที่ชำนาญในเกียร์ยี่ห้อนั้นๆ มีประสบการณ์พอสมควรกับการซ่อมก็ไม่ยากและไม่แพง เพราะช่างที่ชำนาญจะเปลี่ยนชิ้นส่วนเฉพาะตัวที่เสียใช้งานไม่ได้จริงๆเท่านั้น
ปัญหาสำคัญที่จะต้องถึงกับผ่าเกียร์ยกเกียร์โดยที่ที่ลูกนั้นไม่มีชิ้นส่วนใดเสียหายเลยก็คือการที่น้ำเข้าไปในห้องเกียร์ งานนี้ซ่อมยากใช้เวลา ขอเป็นสัปดาห์หน้าจะว่ากันถึงน้ำเข้าเกียร์น้ำ เข้าเครื่อง เข้าไปได้อย่างไร เข้าไปแล้วจะทำอย่างไร จากเสียมากเป็นเสียน้อย ครับ คราวหน้าก็จะจบครบถ้วนกันเรื่องเกียร์ออโต้(ซะที)
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ออโต้
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ก็จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
1. เปลี่ยนแบบธรรมดา (ตามระยะเวลาการใช้งาน)
ข้อดี ข้อเสีย
- รวดเร็ว
- ประหยัดค่าใช้จ่าย(ในระยะสั้น) - การเปลี่ยนถ่ายจะบ่อยครั้งมาก
- ใช้ปริมาณน้ำมันเกียร์น้อย - น้ำมันเกียร์เก่าจะถูกถ่ายออกได้แค่ 30%
2. เปลี่ยนแบบทั้งระบบ
ข้อดี ข้อเสีย
- ทำให้ระบบเกียร์สะอาด
- ยืดอายุการใช้งานเกียร์อัตโนมัติ/การเปลี่ยนถ่าย
- การหล่อลื่นในเกียร์อัตโนมัติทำให้สมบรูณ์ - ใช้ปริมาณน้ำมันเกียร์ที่มากกว่า ค่าใช้จ่ายสูง
สาเหตุที่ต้องบริการล้างเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
1. การเก็บปฎิกิริยาของออกซิเจน ทำให้น้ำมันเกียร์เสี่อมสภาพลง
2. การขับรถในที่มีอากาศร้อนจัด หรือใช้ความเร็วสูง การขับรถในเมือง น้ำมันเกียร์จะเสี่อมสภาพลง
3. หากน้ำมันเกียร์เสี่อมสภาพอย่างสิ้นเชิง จะเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบเกียร์
4. ผงผ้าคลั้ทที่หลุดออกมาผสมกับน้ำมันเกียร์ ที่เสื่อมสภาพ จะทำให้กรองตัน แรงดันน้ำมันปั๊มจะตกลง เกียร์จะทำงานไม่ปกติ
5. การเปลี่ยนถ่าย โดยทั่วไป ทำได้เพียง40% อีก 60% ที่เสี่อมสภาพยังคงตกค้างอยู่ในระบบ
6. การล้างเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ /กรอง สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ได้ 100%
7 ทำให้คุณประหยัดค่าซ่อมได้อย่างสมบรูณ์ในระยะยาว
8. น้ำมันเกียร์จะเต็มระบบ รถเอียงขึ้นเขา ปัีมก็สามารถดูดน้ำมันได้ปกติ แรงดันน้ำมันจะได้มาตรฐาน
9.ยืดอายุการ ล้าง-เปลี่ยน ครั้งต่อไปไม่ต่ำกว่า 1 แสน กม. ( ประสพการณ์ตรง จาก 4 ปีที่แล้วที่เริ่มทำมา และได้ตรวจสอบหลายๆๆคัน ที่ผ่านมือไป เมื่อ 4 ปีที่แล้ว )
สาเหตุที่เกิดขึ้นกับเกียร์อัตโนมัติ
การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แบบปกติ น้ำมันเกียร์เก่าจะถูกถ่ายออกได้เพียง 40% ของปริมาตรทั้งหมด บางส่วนที่เหลือจะตกค้างอยู่ในออยล์คูลเลอร์ ทอร์คอนเวิร์กเตอร์ และในระบบทั้งหมด ของเกียร์ ซึ่งมีผงผ้าคลั้ทผสมกับน้ำมันเกียร์เก่า ทิ้งไว้ผสมกับน้ำมันที่ใส่เข้าไปใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานและ ประสิทธิภาพของเกียร์ เนื่องจากแรงดันน้ำมันเกียร์ตก ไม่ได้ค่าที่ทำงานที่ดีที่สุด จนถึงจังหวะของการเปลี่ยนเกียร์จะไม่แม่นยำ
สมาชิกทุกๆท่านมาเสริมความเข้าใจในกระทู้ได้เลยคับ เพื่อเพิ่มความรู้กัน บางข้อความผมก็เอามาจากที่อื่น และแก้ไขให้ตรงตามยุคคับ
1. เปลี่ยนแบบธรรมดา (ตามระยะเวลาการใช้งาน)
ข้อดี ข้อเสีย
- รวดเร็ว
- ประหยัดค่าใช้จ่าย(ในระยะสั้น) - การเปลี่ยนถ่ายจะบ่อยครั้งมาก
- ใช้ปริมาณน้ำมันเกียร์น้อย - น้ำมันเกียร์เก่าจะถูกถ่ายออกได้แค่ 30%
2. เปลี่ยนแบบทั้งระบบ
ข้อดี ข้อเสีย
- ทำให้ระบบเกียร์สะอาด
- ยืดอายุการใช้งานเกียร์อัตโนมัติ/การเปลี่ยนถ่าย
- การหล่อลื่นในเกียร์อัตโนมัติทำให้สมบรูณ์ - ใช้ปริมาณน้ำมันเกียร์ที่มากกว่า ค่าใช้จ่ายสูง
สาเหตุที่ต้องบริการล้างเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
1. การเก็บปฎิกิริยาของออกซิเจน ทำให้น้ำมันเกียร์เสี่อมสภาพลง
2. การขับรถในที่มีอากาศร้อนจัด หรือใช้ความเร็วสูง การขับรถในเมือง น้ำมันเกียร์จะเสี่อมสภาพลง
3. หากน้ำมันเกียร์เสี่อมสภาพอย่างสิ้นเชิง จะเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบเกียร์
4. ผงผ้าคลั้ทที่หลุดออกมาผสมกับน้ำมันเกียร์ ที่เสื่อมสภาพ จะทำให้กรองตัน แรงดันน้ำมันปั๊มจะตกลง เกียร์จะทำงานไม่ปกติ
5. การเปลี่ยนถ่าย โดยทั่วไป ทำได้เพียง40% อีก 60% ที่เสี่อมสภาพยังคงตกค้างอยู่ในระบบ
6. การล้างเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ /กรอง สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ได้ 100%
7 ทำให้คุณประหยัดค่าซ่อมได้อย่างสมบรูณ์ในระยะยาว
8. น้ำมันเกียร์จะเต็มระบบ รถเอียงขึ้นเขา ปัีมก็สามารถดูดน้ำมันได้ปกติ แรงดันน้ำมันจะได้มาตรฐาน
9.ยืดอายุการ ล้าง-เปลี่ยน ครั้งต่อไปไม่ต่ำกว่า 1 แสน กม. ( ประสพการณ์ตรง จาก 4 ปีที่แล้วที่เริ่มทำมา และได้ตรวจสอบหลายๆๆคัน ที่ผ่านมือไป เมื่อ 4 ปีที่แล้ว )
สาเหตุที่เกิดขึ้นกับเกียร์อัตโนมัติ
การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แบบปกติ น้ำมันเกียร์เก่าจะถูกถ่ายออกได้เพียง 40% ของปริมาตรทั้งหมด บางส่วนที่เหลือจะตกค้างอยู่ในออยล์คูลเลอร์ ทอร์คอนเวิร์กเตอร์ และในระบบทั้งหมด ของเกียร์ ซึ่งมีผงผ้าคลั้ทผสมกับน้ำมันเกียร์เก่า ทิ้งไว้ผสมกับน้ำมันที่ใส่เข้าไปใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานและ ประสิทธิภาพของเกียร์ เนื่องจากแรงดันน้ำมันเกียร์ตก ไม่ได้ค่าที่ทำงานที่ดีที่สุด จนถึงจังหวะของการเปลี่ยนเกียร์จะไม่แม่นยำ
สมาชิกทุกๆท่านมาเสริมความเข้าใจในกระทู้ได้เลยคับ เพื่อเพิ่มความรู้กัน บางข้อความผมก็เอามาจากที่อื่น และแก้ไขให้ตรงตามยุคคับ
ความเสียหายของเกียร์ ออโต้ สาเหตุ
ใช้ทั่วไปจะทำอย่างไรไม่ให้เกียร์เสียหายเร็วในคู่มือของรถแต่ละรุ่นมักจะบอกอายุการใช้งานที่ยาวนาน เช่นการถ่ายน้ำมันเกียร์จะบอกว่าตลอดชีพ โดยไม่ต้องถ่ายก็ไม่รู้จะตลอดไปกี่ปีกี่เดือน ก็ขอให้ได้เข้าใจในเรื่องของน้ำมันเกียร์กันเลยว่าสาเหตุที่เกียร์เสีย น้ำมันเกียร์จะมีส่วนอยู่มากที่สุดภายในตัวเกียร์ทั้งลูกจะมีน้ำมันอยู่ภายในจำนวนมากตั้งแต่ 8-9 ลิตรขึ้นไป แต่ทำไมเวลาถ่ายน้ำมันเกียร์น้ำมันจะออกมาได้แค่ 3-4 ลิตร ที่เหลือออกไม่ได้นั้น แน่นอนก็จะต้องไปเจือจางกับน้ำมันใหม่ที่ใส่เข้าไป และความเข้าใจก็จะคิดว่าถ่ายน้ำมันเกียร์ไปแล้วก็จะใช้ได้ต่อไปอีกหลายหมื่นกิโล ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดๆ เบื้องต้นน้ำมันจำนวนมากจะอยู่ได้นาน เช่น 6 หมื่นกิโลเมตร แต่เมื่อถ่ายน้ำมันเกียร์ไปแล้วอ่ายุน้ำมันจะสั้นลงทันทีสั้นลงกว่าครื่องของครั้งแรก ก็เพราะว่าน้ำมันที่ใส่ลงไปนั้นมีเพียงครึ่งหรือไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด น้ำมันที่เสียไป ก็จะไปผสมกับน้ำมันที่มีอยู่เดิมตรงนี้เรียกว่าเจือจางเมื่อน้ำมันเจือจาง อายุน้ำมันจะสิ้นลง หากถ่ายครั้งแรกไปแล้ว ครั้งที่ 2 ก็จะต้องถ่ายเร็วกว่าอีกเท่าตัว และถ้าใช้เท่าครั้งแรกเกียร์จะเสียไปก่อนแล้ว ก่อนที่จะถึงเวลาถ่ายครั้งที่ 3
จากเรื่องของน้ำมันเกียร์ที่เป็นสาเหตุมากที่สุดจากนี้มาดูว่าน้ำมันเกียร์เสียหายได้เร็วอย่างไรบ้างในการวิ่งในเขตที่การจราจรติดขัดจะต้องออกรถบ่อยๆ ต้องหยุดรถบ่อยและเวลาหยุดรถก็มักจะเหยียบเบรคเอาไว้ ตรงนี้เองน้ำมันเกียร์จะร้อนมากสาเหตุที่ร้อนก็เพราะกลไกภายในเกิดการเสียดสี น้ำมันเกียร์ร้อนก็จะไหลเวียนไประบายความร้อนที่หม้อน้ำ น้ำก็จะร้อนไปท้ายพัดลมก็จะทำงานมากขึ้นการชดเชยรอบเครื่องก็มาก มากเพราะต้องชดเชยให้กับระบบแอร์ และระบบเกียร์ที่เราต้องเบรคเอาไว้ทั้งหมดนี้มีผลทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วมาก และถ้าเราไม่รู้เลยว่าน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพจะดูอย่างไรไม่รู้ ไม่ดู ท้ายสุดเกียร์ก็จะเสียหาย น้ำมันเกียร์สีขุ่นข้น ดำคล้ำ จากผงผ้าคลั้ทไปผสมกับน้ำมันที่เสียอยู่แล้วด้วย จะไม่มีสีแดง (ตระกูล Dexron ) เมื่อไหร่นั้นแหละน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ+ผงผ้าคลั้ทไปแล้ว และเมื่อรู้ว่าน้ำมันเกียร์ขุ่นขั้น ดำคล้ำ เมื่อนั้นเกียร์ของเราอาจเสียหายได้
น้ำมันเกียร์จะต้องยอมถ่ายก่อนที่จะดำจะต้องถ่ายก่อนจะต้องล่นเวลาให้เร็วเข้ามา เช่น 2 หมื่นกิโลถ้าใช้ในเมืองผมขอถือว่าช้าไปเลย 15000 กม. ก็เปลี่ยนได้แล้วสำหรับรถใช้ทางไกลๆ ก็ยืดเวลาออกไปได้อีก เช่น 2-3 หมื่นกิโลก็ได้ เอาละผมสรุปให้ตรงนี้คือรถเก่า แต่ถ้ารถใหม่ๆ ไม่เกิน แสน กม. ให้เขาถ่ายแต่เขาไม่ถ่ายให้เพราะไม่ถึงเวลา แต่ถ้าเราอยากจะถ่ายน้ำมันก่อนเวลา ผมว่าศูนย์เขาคงไม่ขัดข้องก็เราต้องการที่จะยืดอายุเกียร์เราต้องยอมเสียเงิน ผมว่าเรามีสิทธิ์ที่จะทำ
อายุการใช้งานของน้ำมันเกียร์ ก็เหมือนกับหลักเกณฑ์อื่นๆทั่วไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานว่าเป็นรูปแบบใด ใช้งานบ่อยแค่ไหน การใช้งานหนักเท่าไร แต่ระยะเวลามาตราฐานก็จะอยู่ประมาณ 20,000 - 40,000 กิโลเมตร บางคนอาจจะบอกว่า 50,000-60,000 กิโลเมตร อันนี้ก็ไม่ได้บอกว่าผิด สำหรับรถที่ใช้งานปกติทั่วไป และเข้าเช็คสภาพทุกระยะ แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้งานหนัก เช่นรถที่วิ่งในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หรือ รถที่ใช้ งานในบริเวณความเร็วสูงกันบ่อยๆแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จะแนะนำให้เปลี่ยน เร็วขึ้นกว่านี้อีกคับ ถึงแม้นจะเป็นรถเดิมมาตราฐานโรงงาน เพราะการใช้งานที่ระดับ ความเร็ว 150-200 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หรือใช้ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นบ่อยๆ ก็เกิดปัญหาการใช้งานขึ้นได้ เพราะอุณหภูมิของ น้ำมันเกียร์อาจสูงขึ้น ถึง 130 องศาเซลเซียส และจะนำมาซึ่งการเสี่อมสภาพ ที่เร็วกว่าปกติได้คับ
จากเรื่องของน้ำมันเกียร์ที่เป็นสาเหตุมากที่สุดจากนี้มาดูว่าน้ำมันเกียร์เสียหายได้เร็วอย่างไรบ้างในการวิ่งในเขตที่การจราจรติดขัดจะต้องออกรถบ่อยๆ ต้องหยุดรถบ่อยและเวลาหยุดรถก็มักจะเหยียบเบรคเอาไว้ ตรงนี้เองน้ำมันเกียร์จะร้อนมากสาเหตุที่ร้อนก็เพราะกลไกภายในเกิดการเสียดสี น้ำมันเกียร์ร้อนก็จะไหลเวียนไประบายความร้อนที่หม้อน้ำ น้ำก็จะร้อนไปท้ายพัดลมก็จะทำงานมากขึ้นการชดเชยรอบเครื่องก็มาก มากเพราะต้องชดเชยให้กับระบบแอร์ และระบบเกียร์ที่เราต้องเบรคเอาไว้ทั้งหมดนี้มีผลทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วมาก และถ้าเราไม่รู้เลยว่าน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพจะดูอย่างไรไม่รู้ ไม่ดู ท้ายสุดเกียร์ก็จะเสียหาย น้ำมันเกียร์สีขุ่นข้น ดำคล้ำ จากผงผ้าคลั้ทไปผสมกับน้ำมันที่เสียอยู่แล้วด้วย จะไม่มีสีแดง (ตระกูล Dexron ) เมื่อไหร่นั้นแหละน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ+ผงผ้าคลั้ทไปแล้ว และเมื่อรู้ว่าน้ำมันเกียร์ขุ่นขั้น ดำคล้ำ เมื่อนั้นเกียร์ของเราอาจเสียหายได้
น้ำมันเกียร์จะต้องยอมถ่ายก่อนที่จะดำจะต้องถ่ายก่อนจะต้องล่นเวลาให้เร็วเข้ามา เช่น 2 หมื่นกิโลถ้าใช้ในเมืองผมขอถือว่าช้าไปเลย 15000 กม. ก็เปลี่ยนได้แล้วสำหรับรถใช้ทางไกลๆ ก็ยืดเวลาออกไปได้อีก เช่น 2-3 หมื่นกิโลก็ได้ เอาละผมสรุปให้ตรงนี้คือรถเก่า แต่ถ้ารถใหม่ๆ ไม่เกิน แสน กม. ให้เขาถ่ายแต่เขาไม่ถ่ายให้เพราะไม่ถึงเวลา แต่ถ้าเราอยากจะถ่ายน้ำมันก่อนเวลา ผมว่าศูนย์เขาคงไม่ขัดข้องก็เราต้องการที่จะยืดอายุเกียร์เราต้องยอมเสียเงิน ผมว่าเรามีสิทธิ์ที่จะทำ
อายุการใช้งานของน้ำมันเกียร์ ก็เหมือนกับหลักเกณฑ์อื่นๆทั่วไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานว่าเป็นรูปแบบใด ใช้งานบ่อยแค่ไหน การใช้งานหนักเท่าไร แต่ระยะเวลามาตราฐานก็จะอยู่ประมาณ 20,000 - 40,000 กิโลเมตร บางคนอาจจะบอกว่า 50,000-60,000 กิโลเมตร อันนี้ก็ไม่ได้บอกว่าผิด สำหรับรถที่ใช้งานปกติทั่วไป และเข้าเช็คสภาพทุกระยะ แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้งานหนัก เช่นรถที่วิ่งในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หรือ รถที่ใช้ งานในบริเวณความเร็วสูงกันบ่อยๆแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จะแนะนำให้เปลี่ยน เร็วขึ้นกว่านี้อีกคับ ถึงแม้นจะเป็นรถเดิมมาตราฐานโรงงาน เพราะการใช้งานที่ระดับ ความเร็ว 150-200 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง หรือใช้ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นบ่อยๆ ก็เกิดปัญหาการใช้งานขึ้นได้ เพราะอุณหภูมิของ น้ำมันเกียร์อาจสูงขึ้น ถึง 130 องศาเซลเซียส และจะนำมาซึ่งการเสี่อมสภาพ ที่เร็วกว่าปกติได้คับ
เกียร์ของอี 46 เราเป็นระบบ โลจิกส์ไฮดรอลิก แยกเป็น น้ำมันเกียร์ก็เป็นน้ำมันไฮดรอลิกชนิดหนึ่งที่ทนความร้อน ได้สูงและเป็นซีลป้องกันการกะแทกของโลหะ ตลอดจนระบายความร้อนได้ดี ตอนนี้เราใช้ตระกูลสูงสุดของ Dexron คือ Dexron VI
เกรดน้ำมันตระกูล Dexron มีทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นคือ
- Dexron I ต่ำกว่าปี 1990
- Dexron II ปี 1990 - 1995
- Dexron III ปี 1995 - 2003
- Dexron VI ปี 2005 - ปัจจุบัน
น้ำมันนี้เหมาะกับเกียร์ GM / ZF
1. ส่วนต่อจากเครื่องยนต์ จะเป็นเพลามาต่อกับลูก ทอร์ค(ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ) ทำหน้าที่ เป็นคลัีทอัตโนมัติ โดยการเพิ่มแรงบิดของไฮโดรลิคก่อนที่กำลังงานจากเครื่องยนต์ จะไปยังหน่วยส่งกำลัง และ อีกหน้าที่ในกรณีรอบต่ำจะทำหน้าที่ถ่วงแรงเหวี่ยงหนี้ศูนย์โดยใช้น้ำมัน แทนลูกเหวี่ยงเหล็กที่มีน้ำหนัก เนื่องจากขณะเครื่องเดินเบา แบบไม่มีโหลด เครื่องจะเดินได้เรียบ แต่เมื่อไหร่เราเข้าเกียร์มีโหลดกระทันหัน เครื่องรอบจะตก ถ้าไม่มีลูกทอร์คคอยรับแรงจากโหลดตอนเกียร์ทำงานไว้
เพราะนั้นลูกทอร์คจะทำหน้าที่ ให้น้ำหนักรับโหลดโดยวิธีใช้น้ำมันเหวี่ยงหนีศูนย์ เพื่อรับแรงกระแทกเครื่องยนต์ จาก การทำงานของเกียร์ หรือเรียกว่าเป็นคลั้บปิ้งชนิดหนึ่งที่มีน้ำหนักไว้รับแรงโหลดจากเกียร์ ที่จะไม่ทำให้เครื่องยนต์กระตุก รอบต่ำลงไปจนดับ ( ในส่วนเมื่อเครื่องยนต์มีโหลดเพิ่มตอนเข้าเกียร์รอบเครื่องจะตก แต่จะมี สมองของเครื่องยนต์สั่งชดเชยเพิ่มรอบขึ้นมาเท่าเดิมได้ 780 รอบ/นาที ) รับน้ำมันมาจากปั๊มน้ำมัน ( VAN PUMP ) เมื่อน้ำมันเหวี่ยงในลูกทอร์คเสร็จแล้ว จะส่งไปที่ ออยเกียร์เพื่อปรับอุณหภูมิให้พอดีในการทำงาน แล้วส่งกลับมาที่ วาลย์บอดี้ (ระบบวาลย์แบบลอจิกคงามคุมการทำงานของเกียร์ โดยมีโซลินอยเปิด-ปิดวาลย์สั่งงานจากสมองเกียร์ และสวิทซ์คันเกียร์ )
2.ส่วนหัวหมู คือส่วนปั๊มไฮดรอลิก จะมี VAN PUMP (แวนปั๊ม ปั๊มลักษณะใช้ใบกวาดแบบเดียวกับปั๊มเพาเวอร์ ) มีรีริฟตั้งกำลังปั๊มประมาณ 4.5 บาร์ มีท่อส่งน้ำมันไปที่ ลูกทอร์ก
3ส่วนปรับอุณหภูมิความร้อน ( Oil gear ) ปรับอุณหภูมิตามระบบน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ 80 - 98 องศา ( เกียร์ขณะทำงานจะเกินมาประมาณ 120 องศา ซึ่งน้ำมันเกียร์ Dexron VI Fully ทนอุณหภูมิได้ 230 องศา ) น้ำมันผ่านจากลูกทอร์ค จะมาที่ ออยเกียร์ จากออยเกียร์จะไปที่ วาลย์บอดี้ควบคุมเกียร์
4.ส่วน วาลย์บอดี้ควบคุมเกียร์ ( Valve body ) จะเป็นซับเพลททางเดินน้ำมันแบบลอจิกไฮดรอลิก และมีโซลินอยวาลย์ควบคุมการทำงานของเกียร์ ทุกๆๆเกียร์เช่น P-N-D-S/ 1-2-3-4-5-6 สั่งงานส่วนนี้โดย สวิทซ์เกียร์และกล่องสมองอิเลคทรอนิกส์ควบคุมเกียร์
5.ชุดลูกสูบอัดผ้าคลั้ทของแต่ละชุดผ้าคลั้ทของเกียร์
6.ชุดผ้าคลั๊ท โครงกรงกระรอก เฟืองเขาวงกลด ด้านอินพุท -เอ้าพุท จะเป็นชุดคลั้ทแต่ละเกียร์ ส่งกำลังโดยกรงกระรอกให้ ชุดเฟืองขับอิน-เอ้าพุท
7.ชุดสวิทซ์สั่งเกียร์ทำงานทั้งระบบน้ำมันและระบบไฟฟ้าและคันโยกเกียร์
8.ชุดเซนเซอร์ในระบบเกียร์ มีเซนเซร์รอบเครื่องยนต์เข้าเกียร์ (input ) และเซนเซอร์ส่งรอบออกจากเกียร์ ( output ) / เซนเซอร์อุณหภูมิน้ำมันเกียร์
9.เพลากลางส่งกำลังออกมาเฟืองท้าย
10.เฟืองท้าย ส่งกำลังออกไปเพลาข้าง
11.เพลาข้างขับล้อหลังซ้าย-ขวา
รวมกันเราเรียกว่าระบบส่งกำลัง transmission
ต้นกำลังจะใช้น้ำมันไฮดรอลิก (ในที่นี้เราใช้น้ำมันตระกูล Dexron VI เป็นหลัก ) และปั๊มจะต้องทำงานได้เต็มที่แรงดันน้ำมันเกียร์จะสูงถึง 4.5 บาร์เพื่อสั่งให้เกียร์ทำงานได้ปกติ สิ่งที่เกียร์ต้องการคือ
1.น้ำมันเกียร์ที่เต็มระบบ 8.8 ลิตร(รวมลูกทอร์ค )
2.น้ำมันที่สะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน จะได้ผ่านกรองน้ำมันเกียร์ได้ง่าย้พื่อเข้าปั๊มไฮดรอลิก
2 อย่างนี้คือสิ่งจำเป็นยิ่ง เน้นนะคับ 2 อย่างนี้จำเป็นยิ่ง
เพราะนั้นเวลาเกียร์มีปัญหา ความต้องล้างฟลั้ทชิ่งเกียร์ทั้งระบบให้เอี่ยมสะอาด /เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ /ทำความสะอาดอ่างเกียร์เอาผงผ้าคลั้ทและเศาเหล็กที่ติดแถบแม่เหล็กออกให้หมด ระนนี้นี้เป็นระบบปิด เหมือนกับระบบปรับอากาศ ต้องสะอาดและน้ำมันเต็มระบบเช่นกันคับ
เกรดน้ำมันตระกูล Dexron มีทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นคือ
- Dexron I ต่ำกว่าปี 1990
- Dexron II ปี 1990 - 1995
- Dexron III ปี 1995 - 2003
- Dexron VI ปี 2005 - ปัจจุบัน
น้ำมันนี้เหมาะกับเกียร์ GM / ZF
1. ส่วนต่อจากเครื่องยนต์ จะเป็นเพลามาต่อกับลูก ทอร์ค(ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ) ทำหน้าที่ เป็นคลัีทอัตโนมัติ โดยการเพิ่มแรงบิดของไฮโดรลิคก่อนที่กำลังงานจากเครื่องยนต์ จะไปยังหน่วยส่งกำลัง และ อีกหน้าที่ในกรณีรอบต่ำจะทำหน้าที่ถ่วงแรงเหวี่ยงหนี้ศูนย์โดยใช้น้ำมัน แทนลูกเหวี่ยงเหล็กที่มีน้ำหนัก เนื่องจากขณะเครื่องเดินเบา แบบไม่มีโหลด เครื่องจะเดินได้เรียบ แต่เมื่อไหร่เราเข้าเกียร์มีโหลดกระทันหัน เครื่องรอบจะตก ถ้าไม่มีลูกทอร์คคอยรับแรงจากโหลดตอนเกียร์ทำงานไว้
เพราะนั้นลูกทอร์คจะทำหน้าที่ ให้น้ำหนักรับโหลดโดยวิธีใช้น้ำมันเหวี่ยงหนีศูนย์ เพื่อรับแรงกระแทกเครื่องยนต์ จาก การทำงานของเกียร์ หรือเรียกว่าเป็นคลั้บปิ้งชนิดหนึ่งที่มีน้ำหนักไว้รับแรงโหลดจากเกียร์ ที่จะไม่ทำให้เครื่องยนต์กระตุก รอบต่ำลงไปจนดับ ( ในส่วนเมื่อเครื่องยนต์มีโหลดเพิ่มตอนเข้าเกียร์รอบเครื่องจะตก แต่จะมี สมองของเครื่องยนต์สั่งชดเชยเพิ่มรอบขึ้นมาเท่าเดิมได้ 780 รอบ/นาที ) รับน้ำมันมาจากปั๊มน้ำมัน ( VAN PUMP ) เมื่อน้ำมันเหวี่ยงในลูกทอร์คเสร็จแล้ว จะส่งไปที่ ออยเกียร์เพื่อปรับอุณหภูมิให้พอดีในการทำงาน แล้วส่งกลับมาที่ วาลย์บอดี้ (ระบบวาลย์แบบลอจิกคงามคุมการทำงานของเกียร์ โดยมีโซลินอยเปิด-ปิดวาลย์สั่งงานจากสมองเกียร์ และสวิทซ์คันเกียร์ )
2.ส่วนหัวหมู คือส่วนปั๊มไฮดรอลิก จะมี VAN PUMP (แวนปั๊ม ปั๊มลักษณะใช้ใบกวาดแบบเดียวกับปั๊มเพาเวอร์ ) มีรีริฟตั้งกำลังปั๊มประมาณ 4.5 บาร์ มีท่อส่งน้ำมันไปที่ ลูกทอร์ก
3ส่วนปรับอุณหภูมิความร้อน ( Oil gear ) ปรับอุณหภูมิตามระบบน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ 80 - 98 องศา ( เกียร์ขณะทำงานจะเกินมาประมาณ 120 องศา ซึ่งน้ำมันเกียร์ Dexron VI Fully ทนอุณหภูมิได้ 230 องศา ) น้ำมันผ่านจากลูกทอร์ค จะมาที่ ออยเกียร์ จากออยเกียร์จะไปที่ วาลย์บอดี้ควบคุมเกียร์
4.ส่วน วาลย์บอดี้ควบคุมเกียร์ ( Valve body ) จะเป็นซับเพลททางเดินน้ำมันแบบลอจิกไฮดรอลิก และมีโซลินอยวาลย์ควบคุมการทำงานของเกียร์ ทุกๆๆเกียร์เช่น P-N-D-S/ 1-2-3-4-5-6 สั่งงานส่วนนี้โดย สวิทซ์เกียร์และกล่องสมองอิเลคทรอนิกส์ควบคุมเกียร์
5.ชุดลูกสูบอัดผ้าคลั้ทของแต่ละชุดผ้าคลั้ทของเกียร์
6.ชุดผ้าคลั๊ท โครงกรงกระรอก เฟืองเขาวงกลด ด้านอินพุท -เอ้าพุท จะเป็นชุดคลั้ทแต่ละเกียร์ ส่งกำลังโดยกรงกระรอกให้ ชุดเฟืองขับอิน-เอ้าพุท
7.ชุดสวิทซ์สั่งเกียร์ทำงานทั้งระบบน้ำมันและระบบไฟฟ้าและคันโยกเกียร์
8.ชุดเซนเซอร์ในระบบเกียร์ มีเซนเซร์รอบเครื่องยนต์เข้าเกียร์ (input ) และเซนเซอร์ส่งรอบออกจากเกียร์ ( output ) / เซนเซอร์อุณหภูมิน้ำมันเกียร์
9.เพลากลางส่งกำลังออกมาเฟืองท้าย
10.เฟืองท้าย ส่งกำลังออกไปเพลาข้าง
11.เพลาข้างขับล้อหลังซ้าย-ขวา
รวมกันเราเรียกว่าระบบส่งกำลัง transmission
ต้นกำลังจะใช้น้ำมันไฮดรอลิก (ในที่นี้เราใช้น้ำมันตระกูล Dexron VI เป็นหลัก ) และปั๊มจะต้องทำงานได้เต็มที่แรงดันน้ำมันเกียร์จะสูงถึง 4.5 บาร์เพื่อสั่งให้เกียร์ทำงานได้ปกติ สิ่งที่เกียร์ต้องการคือ
1.น้ำมันเกียร์ที่เต็มระบบ 8.8 ลิตร(รวมลูกทอร์ค )
2.น้ำมันที่สะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน จะได้ผ่านกรองน้ำมันเกียร์ได้ง่าย้พื่อเข้าปั๊มไฮดรอลิก
2 อย่างนี้คือสิ่งจำเป็นยิ่ง เน้นนะคับ 2 อย่างนี้จำเป็นยิ่ง
เพราะนั้นเวลาเกียร์มีปัญหา ความต้องล้างฟลั้ทชิ่งเกียร์ทั้งระบบให้เอี่ยมสะอาด /เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ /ทำความสะอาดอ่างเกียร์เอาผงผ้าคลั้ทและเศาเหล็กที่ติดแถบแม่เหล็กออกให้หมด ระนนี้นี้เป็นระบบปิด เหมือนกับระบบปรับอากาศ ต้องสะอาดและน้ำมันเต็มระบบเช่นกันคับ
ความรู้เรื่องรถยนต์ เกียร์ออโต้ ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี
ผู้ผลิตรถแทบทุกค่าย ต่างพากันใส่เกียร์อัตโนมัติไว้ให้เป็นทางเลือกของลูกค้า ที่ใช้งานส่วนใหญ่ในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น ทำให้การขับขี่มีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เนื่องจากเท้าซ้ายไม่ต้องคอยเหยียบครัชให้วุ่นวายอีกต่อไป เรามาดูวิธีการขับขี่เกียร์อัตโนมัติที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อเกียร์และ กระเป๋าของท่านกันดีกว่าครับ
1)การขับรถเกียร์ออโต้โดยทั่วๆไป ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคพิเศษแบบนักแข่งรถ ควรใช้เท้าขวาเพียงเท้าเดียวในการเหยียบคันเร่งเบรค ไม่ควรใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรค
2) สำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มขับรถ พยายามเบรคด้วยเท้าขวาเท่านั้น และเหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตารท์รถ เพื่อป้องกันอันตรายถึงแม้ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง(P)หรือ(N)ก็ตาม และเหยียบเบรคทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ว่าง( N ) หรือเกียร์จอด (P) ไปเป็นเกียร์เดินหน้า (D) หรือเกียร์ถอยหลัง (R) จำไว้ให้ขึ้นใจครับ รถหยุดนิ่ง เหยียบเบรคก่อนทุกครั้งก่อนขยับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ครับ
3) ถ้าท่านเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเดินหน้า (D) ไปเป็นตำแหน่งถอยหลัง (R) หรือเปลี่ยนจากตำแหน่งถอยหลัง (R) ไปเป็นตำแหน่งเดินหน้า (D) ควรให้รถหยุดสนิทให้เรียบร้อยก่อน หลายท่านขับแบบใจร้อนและผิดวิธี รถยังคงเคลื่อนที่อยู่ก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ จะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานสั้น อย่าลืมว่า ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในรถยนต์บางรุ่นมีราคาสูงมาก
4) ขณะที่รถวิ่งอยู่ไม่ควรเข้าเกียร์ตำแหน่ง (N) เช่นเห็นไฟแดงข้างหน้าแต่ยังอีกไกล กลัวว่าจะไม่ประหยัดน้ำมัน ท่านจึงเข้าเกียร์ในตำแหน่ง (N) และปล่อยให้รถไหลไปจนถึงไฟแดง รถแทบทุกรุ่นในยุคปัจจุบันใช้ระบบหัวฉีดควบคุด้วยสมองกลที่ทันสมัย การจ่ายเชื้อเพลิงขึ้นตรงกับลิ้นปีกผีเสื้อ ถ้าท่านยกเท้าออกจากคันเร่งลิ้นปีกผีเสื้อก็จะปิดทันที เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อจะรายงานกล่องสมองกลที่ควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิง ให้หยุดทำการจ่ายน้ำมันทันที ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปลดเกียร์ว่าง (N) แต่อย่างใด และยังเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเกียรืของท่านอีกด้วย เนื่องจากรถยนต์ในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เกียร์ที่อยู่ในตำแหน่ง(D) จะมีปั้มแรงดันสูง ส่งน้ำมันเกียร์เข้าไปหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา
แต่ ปั้มน้ำมันของเกียร์อัตโนมัติจะทำงานน้อยลงเมื่อเกียร์ อยู่ในตำแหน่ง (N) เมื่อไม่มีแรงดันที่พอเพียงจะดันน้ำมันไปหล่อลื่นเกียร์อย่างเพียงพอ จะทำให้เกียร์ออโต้ของท่านร้อน และเกิดการสึกหรอเสียหายตามมา และด้วยสาเหตุนี้เองเวลารถที่ใช้เกียร์ออโต้เสียและจำเป็นต้องลากไปอู่จึงจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อช่วยลดความร้อนของเกียร์ขณะที่ทำการลากจูง หรือถ้าหาน้ำมันเกียร์มาเติมไม่ได้ ควรยกให้ล้อที่ใช้ขับเคลื่อนให้ลอยพ้นพื้นถนนเนื่องจากระบบปั้มน้ำมัน เพาว์เวอร์ของระบบเกียร์อัตโนมัติหยุดทำงาน ไม่แนะนำให้ถอดเพลาสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลังเพระยุ่งยากและเสียเวลามากครับ ปัจจุบันนี้มีรถยก 6 ล้อ แบบสไลด์ออนสามารถนำรถทั้งคันขึ้นไปไว้บนกระบะหลัง สะดวกสบายและปลอดภัยต่อเกียร์อัตโนมัติและรถยนต์ราคาแพงของท่านครับ
5) การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ 2 ต้องระมัดระวังเนื่องจากตำแหน่ง 2 จะมีอัตตราทดเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 ซึ่งบริษัทผู้ผลิตต้องการทำให้ท่านเจ้าของรถใช้งานในกรณีที่ต้องการแรงบิด มากๆเช่นทางขึ้นเนินที่ค่อนข้างชัน หรือต้องการการหน่วงความเร็วของรถเอาไว้เช่นในขณะที่ขับรถลงเนินเขา(ENGINE BRAKE) หรือวิ่งบนเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันมากๆ ห้ามใช้ตำแหน่งเกียร์ 2 ในขณะที่ท่านขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ใช้รอบเครื่องสูงตามไปด้วย จนเกินขีดจำกัดและก่อให้เกิดความเสียหาย และอาจลื่นไถลเนื่องจากเกิดแรงบิดมหาศาลมากระทำที่ล้อ ทำให้รถเสียการทรงตัวได้ครับ
6) ไม่ควรขับลากเกียร์ โดยทั่วไปการขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ (D) ระบบสมองกลที่ควบคุมเกียร์จะทำการสั่งงานให้ปรับเปลี่ยนเกียรให้ขึ้นลงตาม ความเหมาะสมและความเร็วของรถอยู่ตลอดเวลา บางท่านรู้มากใช้วิธีเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์โดยการเลื่อนคันเกียร์ขึ้นลงเองใน ขณะที่รอบเครื่องทำงานสูงสุดเพียงเพื่อหวังผลทางด้านอัตราเร่งแต่จะมีผลทำ ให้ผ้าคลัทช์ และระบบทอกค์คอนเวอร์เตอร์เกิดการสึกหรอเสียหาย และทำให้มีอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติสั้นลง
7) ไม่ขับแบบเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำเอง(คิกดาวน์)บ่อยๆ การขับในตำแหน่ง (D)ระบบสมองกลควบคุมเกียร์จะทำการคำนวนค่าของแรงต่างๆและปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เกียร์ตามความเร็วของรถในขณะนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว การกดคันเร่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำหรือที่เรียกว่าคิกดาวน์ ไม่ควรทำบ่อยครั้ง หรือทำเท่าที่จำเป็นในการเร่งแซงให้พ้นเท่านั้น ถ้าท่านทำบ่อยๆ ผ้าคลัทช์ของเกียร์จะทำงานหนักและสึกหรอเร็วมากขึ้นครับ
8) ควรมีสายพ่วงแบตตารี่ติดท้ายรถไว้ตลอดเวลา เนื่องจากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติไม่สามารถเข็นด้วยความเร็วต่ำแล้วกระตุ กสตารท์ให้ติดเครื่องยนต์ได้เหมือนรถยนต์เกียร์ธรรมดา การเข็นรถเกียร์อัตโนมัติแล้วใช้วิธีกระตุกสตารท์ ต้องใช้ความเร็วอย่างน้อย 20กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเข็นด้วยแรงคนเป็นไปได้ยาก และยังเสี่ยงกับความเสียหายต่อเกียร์ในขณะที่ทำการเข็นหรือลากอีกด้วย ควรตรวจสอบแบตตารี่ให้มีไฟพอเพียงต่อการสตารท์ทุกครั้งครับ
9) น้ำมันเกียร์อัตโนมัติหัวใจของการหล่อลื่นและยืดอายุการใช้งานของเกียร์รถ ท่านให้ยาวนาน จึงควรเอาใจใส่ตรวจสอบบ่อยๆ การตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าขีดที่ก้านวัด กำหนดหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางทีแนะนำ ไม่มีเกียร์อัตโนมัติใดไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้ งานของรถตามที่มีหลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์โฆษณาชวนเชื่อให้รถยนต์ของตนดูทน ทานและแข็งแรงตามความเป็นจริงจากสภาพการจราจร อุณภูมิ และสภาพการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติทุกยี่ห้อยังต้องการการดูแลแปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ ทางที่ใช้ครับ
10) ตำแหน่งในเกียร์อัตโมติ
P)PARKING-เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้จอดในลักษณะเป็นที่เป็นทางไม่จอดขวางทางรถคันอื่นแล้วใส่ตำแหน่งเกียร์นี้ไว้
หรือจอดในทางที่มีลักษณะลาดชัน และใช้ในตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
R) REVERSE-เป็นตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง เหยียบเบรคทุกครั้งที่จะเข้าเกียร์ในตำแหน่งนี้
N) NEUTRAL-เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่ส่งลงมาสู่เกียร์ และใช้เป็นตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
D) DRIVE-เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้าและใช้ในการขับขี่ตามปกติ
โดยตำแหน่งเกียร์จะปรับเปลี่ยนเองตามคำสั่งของสมองกลที่ควบคุม
ยกเว้นรถยนต์บางรุ่นที่มีสวิทช์ปรับเปลี่ยนระบบเกียร์และผู้ใช้เปิดสวิทช์เพื่อใช้งานในการปรับตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง
2) เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้า แต่จะมีอยู่แค่ 1 และเกียร์ 2 อยู่ในตำแหน่งนี้
ใช้เพื่อขับขึ้นลงทางที่มีเนินสูงชัน ทางที่คดเคี้ยวไปมา ที่ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้
1) LOW-เกียร์ในตำแหน่งนี้ มีเพียงเกียร์ 1 เท่านั้น ใช้สำหรับงานหนักที่ต้องการกำลัง หรือรถติดหล่ม หรือทางขึ้น ลงเขาที่ชันมาก
ขอให้สนุกกับการขับรถเกียร์อัตโนมัติทุกท่านครับ
http://men.mthai.com/car/car-tips/1605.html
1)การขับรถเกียร์ออโต้โดยทั่วๆไป ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคพิเศษแบบนักแข่งรถ ควรใช้เท้าขวาเพียงเท้าเดียวในการเหยียบคันเร่งเบรค ไม่ควรใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรค
2) สำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มขับรถ พยายามเบรคด้วยเท้าขวาเท่านั้น และเหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตารท์รถ เพื่อป้องกันอันตรายถึงแม้ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง(P)หรือ(N)ก็ตาม และเหยียบเบรคทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ว่าง( N ) หรือเกียร์จอด (P) ไปเป็นเกียร์เดินหน้า (D) หรือเกียร์ถอยหลัง (R) จำไว้ให้ขึ้นใจครับ รถหยุดนิ่ง เหยียบเบรคก่อนทุกครั้งก่อนขยับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ครับ
3) ถ้าท่านเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเดินหน้า (D) ไปเป็นตำแหน่งถอยหลัง (R) หรือเปลี่ยนจากตำแหน่งถอยหลัง (R) ไปเป็นตำแหน่งเดินหน้า (D) ควรให้รถหยุดสนิทให้เรียบร้อยก่อน หลายท่านขับแบบใจร้อนและผิดวิธี รถยังคงเคลื่อนที่อยู่ก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ จะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานสั้น อย่าลืมว่า ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในรถยนต์บางรุ่นมีราคาสูงมาก
4) ขณะที่รถวิ่งอยู่ไม่ควรเข้าเกียร์ตำแหน่ง (N) เช่นเห็นไฟแดงข้างหน้าแต่ยังอีกไกล กลัวว่าจะไม่ประหยัดน้ำมัน ท่านจึงเข้าเกียร์ในตำแหน่ง (N) และปล่อยให้รถไหลไปจนถึงไฟแดง รถแทบทุกรุ่นในยุคปัจจุบันใช้ระบบหัวฉีดควบคุด้วยสมองกลที่ทันสมัย การจ่ายเชื้อเพลิงขึ้นตรงกับลิ้นปีกผีเสื้อ ถ้าท่านยกเท้าออกจากคันเร่งลิ้นปีกผีเสื้อก็จะปิดทันที เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อจะรายงานกล่องสมองกลที่ควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิง ให้หยุดทำการจ่ายน้ำมันทันที ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปลดเกียร์ว่าง (N) แต่อย่างใด และยังเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเกียรืของท่านอีกด้วย เนื่องจากรถยนต์ในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เกียร์ที่อยู่ในตำแหน่ง(D) จะมีปั้มแรงดันสูง ส่งน้ำมันเกียร์เข้าไปหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา
แต่ ปั้มน้ำมันของเกียร์อัตโนมัติจะทำงานน้อยลงเมื่อเกียร์ อยู่ในตำแหน่ง (N) เมื่อไม่มีแรงดันที่พอเพียงจะดันน้ำมันไปหล่อลื่นเกียร์อย่างเพียงพอ จะทำให้เกียร์ออโต้ของท่านร้อน และเกิดการสึกหรอเสียหายตามมา และด้วยสาเหตุนี้เองเวลารถที่ใช้เกียร์ออโต้เสียและจำเป็นต้องลากไปอู่จึงจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อช่วยลดความร้อนของเกียร์ขณะที่ทำการลากจูง หรือถ้าหาน้ำมันเกียร์มาเติมไม่ได้ ควรยกให้ล้อที่ใช้ขับเคลื่อนให้ลอยพ้นพื้นถนนเนื่องจากระบบปั้มน้ำมัน เพาว์เวอร์ของระบบเกียร์อัตโนมัติหยุดทำงาน ไม่แนะนำให้ถอดเพลาสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลังเพระยุ่งยากและเสียเวลามากครับ ปัจจุบันนี้มีรถยก 6 ล้อ แบบสไลด์ออนสามารถนำรถทั้งคันขึ้นไปไว้บนกระบะหลัง สะดวกสบายและปลอดภัยต่อเกียร์อัตโนมัติและรถยนต์ราคาแพงของท่านครับ
5) การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ 2 ต้องระมัดระวังเนื่องจากตำแหน่ง 2 จะมีอัตตราทดเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 ซึ่งบริษัทผู้ผลิตต้องการทำให้ท่านเจ้าของรถใช้งานในกรณีที่ต้องการแรงบิด มากๆเช่นทางขึ้นเนินที่ค่อนข้างชัน หรือต้องการการหน่วงความเร็วของรถเอาไว้เช่นในขณะที่ขับรถลงเนินเขา(ENGINE BRAKE) หรือวิ่งบนเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันมากๆ ห้ามใช้ตำแหน่งเกียร์ 2 ในขณะที่ท่านขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ใช้รอบเครื่องสูงตามไปด้วย จนเกินขีดจำกัดและก่อให้เกิดความเสียหาย และอาจลื่นไถลเนื่องจากเกิดแรงบิดมหาศาลมากระทำที่ล้อ ทำให้รถเสียการทรงตัวได้ครับ
6) ไม่ควรขับลากเกียร์ โดยทั่วไปการขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ (D) ระบบสมองกลที่ควบคุมเกียร์จะทำการสั่งงานให้ปรับเปลี่ยนเกียรให้ขึ้นลงตาม ความเหมาะสมและความเร็วของรถอยู่ตลอดเวลา บางท่านรู้มากใช้วิธีเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์โดยการเลื่อนคันเกียร์ขึ้นลงเองใน ขณะที่รอบเครื่องทำงานสูงสุดเพียงเพื่อหวังผลทางด้านอัตราเร่งแต่จะมีผลทำ ให้ผ้าคลัทช์ และระบบทอกค์คอนเวอร์เตอร์เกิดการสึกหรอเสียหาย และทำให้มีอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติสั้นลง
7) ไม่ขับแบบเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำเอง(คิกดาวน์)บ่อยๆ การขับในตำแหน่ง (D)ระบบสมองกลควบคุมเกียร์จะทำการคำนวนค่าของแรงต่างๆและปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เกียร์ตามความเร็วของรถในขณะนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว การกดคันเร่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำหรือที่เรียกว่าคิกดาวน์ ไม่ควรทำบ่อยครั้ง หรือทำเท่าที่จำเป็นในการเร่งแซงให้พ้นเท่านั้น ถ้าท่านทำบ่อยๆ ผ้าคลัทช์ของเกียร์จะทำงานหนักและสึกหรอเร็วมากขึ้นครับ
8) ควรมีสายพ่วงแบตตารี่ติดท้ายรถไว้ตลอดเวลา เนื่องจากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติไม่สามารถเข็นด้วยความเร็วต่ำแล้วกระตุ กสตารท์ให้ติดเครื่องยนต์ได้เหมือนรถยนต์เกียร์ธรรมดา การเข็นรถเกียร์อัตโนมัติแล้วใช้วิธีกระตุกสตารท์ ต้องใช้ความเร็วอย่างน้อย 20กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเข็นด้วยแรงคนเป็นไปได้ยาก และยังเสี่ยงกับความเสียหายต่อเกียร์ในขณะที่ทำการเข็นหรือลากอีกด้วย ควรตรวจสอบแบตตารี่ให้มีไฟพอเพียงต่อการสตารท์ทุกครั้งครับ
9) น้ำมันเกียร์อัตโนมัติหัวใจของการหล่อลื่นและยืดอายุการใช้งานของเกียร์รถ ท่านให้ยาวนาน จึงควรเอาใจใส่ตรวจสอบบ่อยๆ การตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าขีดที่ก้านวัด กำหนดหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางทีแนะนำ ไม่มีเกียร์อัตโนมัติใดไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้ งานของรถตามที่มีหลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์โฆษณาชวนเชื่อให้รถยนต์ของตนดูทน ทานและแข็งแรงตามความเป็นจริงจากสภาพการจราจร อุณภูมิ และสภาพการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติทุกยี่ห้อยังต้องการการดูแลแปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ ทางที่ใช้ครับ
10) ตำแหน่งในเกียร์อัตโมติ
P)PARKING-เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้จอดในลักษณะเป็นที่เป็นทางไม่จอดขวางทางรถคันอื่นแล้วใส่ตำแหน่งเกียร์นี้ไว้
หรือจอดในทางที่มีลักษณะลาดชัน และใช้ในตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
R) REVERSE-เป็นตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง เหยียบเบรคทุกครั้งที่จะเข้าเกียร์ในตำแหน่งนี้
N) NEUTRAL-เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่ส่งลงมาสู่เกียร์ และใช้เป็นตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
D) DRIVE-เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้าและใช้ในการขับขี่ตามปกติ
โดยตำแหน่งเกียร์จะปรับเปลี่ยนเองตามคำสั่งของสมองกลที่ควบคุม
ยกเว้นรถยนต์บางรุ่นที่มีสวิทช์ปรับเปลี่ยนระบบเกียร์และผู้ใช้เปิดสวิทช์เพื่อใช้งานในการปรับตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง
2) เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้า แต่จะมีอยู่แค่ 1 และเกียร์ 2 อยู่ในตำแหน่งนี้
ใช้เพื่อขับขึ้นลงทางที่มีเนินสูงชัน ทางที่คดเคี้ยวไปมา ที่ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้
1) LOW-เกียร์ในตำแหน่งนี้ มีเพียงเกียร์ 1 เท่านั้น ใช้สำหรับงานหนักที่ต้องการกำลัง หรือรถติดหล่ม หรือทางขึ้น ลงเขาที่ชันมาก
ขอให้สนุกกับการขับรถเกียร์อัตโนมัติทุกท่านครับ
http://men.mthai.com/car/car-tips/1605.html
อาการคอยส์ เสื่อม และ คอยส์เสีย
คอยล์เสื่อม อาการแรกๆคือ ร้อนแล้วเครื่องดับ พอเย็นๆก็ปกติ ร้อนก็ดับอีก สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด หลังจากนั้นก็ไม่ติดทั้งร้อนและเย็น
ที่ไม่แสดงชัดเจนตอนใช้น้ำมัน เพราะยังพอจุดระเบิดที่ระดับ ออกเทน 91-95 ได้
แต่พอมาเจอLPG ที่ออกเทน 100-110 มันจุดไม่ไหวครับ ส่วนมากจะเด่นชัดเมื่อตอนออกตัวด้วยแก๊ส จะวิ่งไม่ออก กระพือ ไปจนถึงจามอ่อนๆ
คอยล์ที่ให้เช่าทดสอบนี้รู้อย่างไรว่าใช้ได้?
การให้เช่าคอยล์จากทางเราคงเป็นไปไม่ได้ว่าจะนำของใหม่มาใช้เช่าทุกครั้ง ทางเราจะมีการทดสอบคอยล์ก่อนจัดส่งให้ทุกครั้ง เราสามารถทดสอบได้ว่าคอยล์รั่ว อัตราการกินกระแสคอยล์อยู่ในช่วงมาตรฐาน หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลสำหรับเรื่องนี้
คอยส์เสื่อม : อาการร้อนแล้วดับ พอเย็น ๆ สตาร์ทได้ปกติ ถ้าร้อนอีก ก็ดับ อีก เช็คแล้วมีไฟ แต่แรงดันน้อย
คอยส์เสีย : ดับ แล้ว สตาร์ทไม่ติด เช็คแล้วไม่มีไฟ
ที่ไม่แสดงชัดเจนตอนใช้น้ำมัน เพราะยังพอจุดระเบิดที่ระดับ ออกเทน 91-95 ได้
แต่พอมาเจอLPG ที่ออกเทน 100-110 มันจุดไม่ไหวครับ ส่วนมากจะเด่นชัดเมื่อตอนออกตัวด้วยแก๊ส จะวิ่งไม่ออก กระพือ ไปจนถึงจามอ่อนๆ
อาการแบบไหนที่ควรลองเปลี่ยนคอยล์?
สะดุดตอนเดินเบาและออกตัว อาการคอยล์รั่วเริ่มแรกจะออกอาการไม่ชัด จะเห็นผลชัดเจนตอนรถใช้กำลัง เช่น เดินเบาแล้วมีภาระโหลดเพิ่มขึ้นจากการเปิดแอร์ เปิดไฟหน้า หรือหมุนพวงมาลัยคอยล์ที่ให้เช่าทดสอบนี้รู้อย่างไรว่าใช้ได้?
การให้เช่าคอยล์จากทางเราคงเป็นไปไม่ได้ว่าจะนำของใหม่มาใช้เช่าทุกครั้ง ทางเราจะมีการทดสอบคอยล์ก่อนจัดส่งให้ทุกครั้ง เราสามารถทดสอบได้ว่าคอยล์รั่ว อัตราการกินกระแสคอยล์อยู่ในช่วงมาตรฐาน หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลสำหรับเรื่องนี้
คอยส์เสื่อม : อาการร้อนแล้วดับ พอเย็น ๆ สตาร์ทได้ปกติ ถ้าร้อนอีก ก็ดับ อีก เช็คแล้วมีไฟ แต่แรงดันน้อย
คอยส์เสีย : ดับ แล้ว สตาร์ทไม่ติด เช็คแล้วไม่มีไฟ
เพราะคอยล์จุดระเบิดเสื่อม
ขับๆอยู่ รอบสวิงต่ำลงมาก จนรถเหมือนจะวูบดับแต่มันไม่ดับครับ
มีอาการกระตุก เพราะคอยล์จุดระเบิดเสื่อมครับ ผมติดแก๊ส LPGมาปีกว่าวิ่งแก๊สไปได้4หมื่นกว่าโล
อาการคือ เหยียบเร่งแซงไม่ขึ้น คิ๊กดาวน์ เกียร์ก็ไม่เทริน จอดรอไฟแดง เข้าเกียร์D เหยียบเบรคไว้ ก็มีอาการกระตุก เป็นช่วงๆ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย ไม่เป็นจังหวะ เวลาถอยก็กระตุก ตุ๊ปๆๆๆ ถี่ และแรง สับใช้น้ำมัน ดีขึ้นแต่ไม่หาย นึกแปลกใจอยู่ว่า กระตุกแต่ไฟเอ็นจิ้น ทำไมไม่โชว์?
ก็เลย.... ไปอู่แก๊สก่อน เช็คระบบแก๊สก็ปกติดี ช่างบอกว่า "คอยล์จุดระเบิดน่าจะเสื่อม" (แต่ไม่มีคอยล์ลองสลับดูเลยไม่รู้) คอยล์จุดระเบิดตัวละ5พันกว่าๆ จ่ายเยอะไป แล้วถ้าไม่หายก็เสียเงิน... ตอนนั้นสังเกตุดูภายในห้องเครื่องก็ปกติดี
ต่อมาเข้าไปเช็คที่0 ให้เช็คระบบจากกล่องECU เผื่อจะเจอว่า คอยล์สูบไหนเสีย ช่างบอก "ระบบก็ปกติคอยล์ไม่เสียหรอก อย่างงี้ต้องเปิดฝาวาวล์" (เสนอราคาที่3หมื่นกว่า) ไม่รับรองผลด้วย ........ผมคิดว่าจ่ายเยอะไป
ผมเลยมาหาข้อมูลในWeb แนะนำว่า ลองไปตั้งวาว์ลดูก่อน แค่พันกว่าบาท และก็เช็ควาว์ลไปในตัวด้วย พอตั้งเสร็จแล้ว ก็ยังไม่หาย
มาคิดๆว่า จะลองสับคอยล์ดู เพราะพี่ชายมีมาสด้า2 เห็นBlock เครื่องคล้ายกัน ก็เลยตั้งกระทู้ถาม ว่าใช้แทนกันได้มั้ย? แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ไปลองสับคอยล์ เพราะไม่มีเวลา
ผ่านมาร่วม3สัปดาห์ ไฟเอ็นจิ้น เริ่มโชว์ กระพริบๆ ช่วงนั้นขับไปก็เซ็งไป กระตุก เร่งไม่ขึ้น ขึ้นทางลาดก็ไม่มีแรง ออกตัวก็โดนจี้ตูดตลอด ยิ่งถ้าเปิดแอร์เปิดไฟ มันจะหนักขึ้น
มาตอนหลังเปิดฝาเครื่องดู
สังเกตุได้ว่า มันเริ่มมีเสียงดัง แป๊ป!ๆ ช่วงจังหวะที่เครื่องกระตุก ตอนนี้เสียงมันเด่นชัดขึ้น ลองStartเครื่อง+ยกกล่องไอดีแล้วมองเข้าไปดู เห็นเลยครับว่า มีประกายไฟแล๊ป แป๊ป!ๆ ออกมาที่สูบ1 ระหว่างคอยล์กับฝาคลอบวาวล์ เลยถอดคอยล์ออกมาดู เออ....มันมีรอยเขม่าสีขาวๆ ที่เกิดจากไฟอาร์คจริงๆ ที่รูฝาคลอบวาวล์และตัวคอยล์ ดูที่คอยล์ก็ไม่มีรอยแตกนี่ ก็ลองเอาผ้าเทปพันหุ้มดู คิดว่าคงกันไม่ให้ไฟรั่วออกมา แล้วลองStartดูอีกที "เอ้อ...หายแล้ว" ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด เฮ้อ..........คงต้องเปลียนคอยล์จริงๆ
เลยมาคิดย้อนหลังดู -ตอนไปเช็คระบบที่ศูนย์ แล้วทำไม? ไม่เจอว่าคอยล์เสีย ผมคิดว่า ไฟที่จุดระเบิดเป็นOut put และ จุดระเบิดแต่ละครั้ง กระแสมันสูง ECUบันทึกไม่ได้ว่าคอยล์ผิดปกติ -และดีน่ะที่ไม่ยกทำฝาวาวล์ก่อน (ไม่งั้นเสีย3หมื่นแน่กู) -ตั้งวาล์วไปพันสอง+หัวเทียนเข็มอีก8ร้อยกว่าบาท (ปลอบใจตัวเองว่า ยังงัยก็ต้องทำอยู่ดี)
สรุป: ที่รถผมเครื่องกระตุกเพราะ ไฟจุดระเบิดรั่ว ที่คอยล์หัวเทียน ทำให้สูบทำงานไม่เต็มครับ -อาการตอนแรกจะยังไม่เห็น รอยไฟรั่วออกมา
-ถึงแม้ดูภายนอกคอยล์ จะไม่มีรอยแตกก็ตาม ไฟก็รั่วออกมาได้ครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับท่านอื่นบ้างครับ ที่เจอปัญหา เดียวกัน
อาการคือ เหยียบเร่งแซงไม่ขึ้น คิ๊กดาวน์ เกียร์ก็ไม่เทริน จอดรอไฟแดง เข้าเกียร์D เหยียบเบรคไว้ ก็มีอาการกระตุก เป็นช่วงๆ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย ไม่เป็นจังหวะ เวลาถอยก็กระตุก ตุ๊ปๆๆๆ ถี่ และแรง สับใช้น้ำมัน ดีขึ้นแต่ไม่หาย นึกแปลกใจอยู่ว่า กระตุกแต่ไฟเอ็นจิ้น ทำไมไม่โชว์?
ก็เลย.... ไปอู่แก๊สก่อน เช็คระบบแก๊สก็ปกติดี ช่างบอกว่า "คอยล์จุดระเบิดน่าจะเสื่อม" (แต่ไม่มีคอยล์ลองสลับดูเลยไม่รู้) คอยล์จุดระเบิดตัวละ5พันกว่าๆ จ่ายเยอะไป แล้วถ้าไม่หายก็เสียเงิน... ตอนนั้นสังเกตุดูภายในห้องเครื่องก็ปกติดี
ต่อมาเข้าไปเช็คที่0 ให้เช็คระบบจากกล่องECU เผื่อจะเจอว่า คอยล์สูบไหนเสีย ช่างบอก "ระบบก็ปกติคอยล์ไม่เสียหรอก อย่างงี้ต้องเปิดฝาวาวล์" (เสนอราคาที่3หมื่นกว่า) ไม่รับรองผลด้วย ........ผมคิดว่าจ่ายเยอะไป
ผมเลยมาหาข้อมูลในWeb แนะนำว่า ลองไปตั้งวาว์ลดูก่อน แค่พันกว่าบาท และก็เช็ควาว์ลไปในตัวด้วย พอตั้งเสร็จแล้ว ก็ยังไม่หาย
มาคิดๆว่า จะลองสับคอยล์ดู เพราะพี่ชายมีมาสด้า2 เห็นBlock เครื่องคล้ายกัน ก็เลยตั้งกระทู้ถาม ว่าใช้แทนกันได้มั้ย? แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ไปลองสับคอยล์ เพราะไม่มีเวลา
ผ่านมาร่วม3สัปดาห์ ไฟเอ็นจิ้น เริ่มโชว์ กระพริบๆ ช่วงนั้นขับไปก็เซ็งไป กระตุก เร่งไม่ขึ้น ขึ้นทางลาดก็ไม่มีแรง ออกตัวก็โดนจี้ตูดตลอด ยิ่งถ้าเปิดแอร์เปิดไฟ มันจะหนักขึ้น
มาตอนหลังเปิดฝาเครื่องดู
สังเกตุได้ว่า มันเริ่มมีเสียงดัง แป๊ป!ๆ ช่วงจังหวะที่เครื่องกระตุก ตอนนี้เสียงมันเด่นชัดขึ้น ลองStartเครื่อง+ยกกล่องไอดีแล้วมองเข้าไปดู เห็นเลยครับว่า มีประกายไฟแล๊ป แป๊ป!ๆ ออกมาที่สูบ1 ระหว่างคอยล์กับฝาคลอบวาวล์ เลยถอดคอยล์ออกมาดู เออ....มันมีรอยเขม่าสีขาวๆ ที่เกิดจากไฟอาร์คจริงๆ ที่รูฝาคลอบวาวล์และตัวคอยล์ ดูที่คอยล์ก็ไม่มีรอยแตกนี่ ก็ลองเอาผ้าเทปพันหุ้มดู คิดว่าคงกันไม่ให้ไฟรั่วออกมา แล้วลองStartดูอีกที "เอ้อ...หายแล้ว" ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด เฮ้อ..........คงต้องเปลียนคอยล์จริงๆ
เลยมาคิดย้อนหลังดู -ตอนไปเช็คระบบที่ศูนย์ แล้วทำไม? ไม่เจอว่าคอยล์เสีย ผมคิดว่า ไฟที่จุดระเบิดเป็นOut put และ จุดระเบิดแต่ละครั้ง กระแสมันสูง ECUบันทึกไม่ได้ว่าคอยล์ผิดปกติ -และดีน่ะที่ไม่ยกทำฝาวาวล์ก่อน (ไม่งั้นเสีย3หมื่นแน่กู) -ตั้งวาล์วไปพันสอง+หัวเทียนเข็มอีก8ร้อยกว่าบาท (ปลอบใจตัวเองว่า ยังงัยก็ต้องทำอยู่ดี)
สรุป: ที่รถผมเครื่องกระตุกเพราะ ไฟจุดระเบิดรั่ว ที่คอยล์หัวเทียน ทำให้สูบทำงานไม่เต็มครับ -อาการตอนแรกจะยังไม่เห็น รอยไฟรั่วออกมา
-ถึงแม้ดูภายนอกคอยล์ จะไม่มีรอยแตกก็ตาม ไฟก็รั่วออกมาได้ครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับท่านอื่นบ้างครับ ที่เจอปัญหา เดียวกัน
ปกติรถที่ใช้ CNG, LPG ตัวคอยล์จุดระเบิดจะเสื่อมเร็วเพราะ เครื่องร้อน กว่ารถที่ใช้น้ำมัน ปรกติแล้วตัวคอยล์รถ จะไม่เสียง่ายๆ เพราะทำด้วยขดทองลวดทองแดง แต่ตัวยางหุ้มคอยล์ ที่ต่อจากตัวคอยล์ ไปที่หัวเทียนจะเสื่อมคุณภาพเร็ว ทำให้ไฟรั่วลงตัวเครื่องยนต์ ไม่ส่งกระแสไฟไปที่หัวเทียน เครื่องยนต์เดินไม่ครบสูบ แรงตก เครื่องสั่น เครื่องน๊อค
เซนเซอร์ท่อไอเสีย Oxegen senso
ขับๆอยู่ รอบสวิงต่ำลงมาก จนรถเหมือนจะวูบดับแต่มันไม่ดับครับ

ขับๆอยู่ รอบสวิงต่ำลงมาก จนรถเหมือนจะวูบดับแต่มันไม่ดับครับ
เหยียบคันเร่ง ก็ไม่ตอบสนองหรือเรียกว่าอาการวืด ต้องดับเครื่องกลางคันก่อน แล้วสตาร์ทเครื่องใหม่จึงจะประคองไปได้ เวลาที่มันรอบสวิงต่ำมากจะอยู่ที่ 300-400 สวิงขึ้นลงๆ พอเราเหยียบคันเร่งรอบมันจะต่ำ พอเราปล่อยคันเร่งรอบก็จะสูงขึ้นมาหน่อยแต่ไม่เกิน 500
พอประคองรถลงข้างทางขณะที่รอบมันสวิงอยู่ ผมเปิดฝากระโปรงดู ปรากฎว่า เครื่องยนต์สั่นมาก อย่างกะจ้าวเข้า ครั้งแรกไปเปลี่ยน ปีกผีเสื้อ ไม่หาย ครั้งที่สองศูนย์วิเคราะห์อาการว่า หัวฉีดตัน เปลี่ยนไป 18000 ไม่หาย ครั้งสุดท้าย(ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) เปลี่ยนเจ้าตัวที่ชื่อว่า เซนเซอร์ท่อไอเสีย Oxegen sensor อาการที่บอกมาข้างต้น หายเป็นปลิดทิ้ง
พี่ๆท่านได้ที่รถติดแก๊ซมานานๆ แล้วเจออาการแบบผม ก็ลองให้ช่างเช็คตัวที่ผมบอกดูนะครับ ราคาอยู่ที่ 3800 มั้งครับ ตัวเท่าหัวเทียน มันจะปักอยู่ตรงด้านล่างของเครื่องยนต์ ลักษณะเหมือนหัวเทียน ปักอยู่มีสายต่อมาหน่อย
เหยียบคันเร่ง ก็ไม่ตอบสนองหรือเรียกว่าอาการวืด ต้องดับเครื่องกลางคันก่อน แล้วสตาร์ทเครื่องใหม่จึงจะประคองไปได้ เวลาที่มันรอบสวิงต่ำมากจะอยู่ที่ 300-400 สวิงขึ้นลงๆ พอเราเหยียบคันเร่งรอบมันจะต่ำ พอเราปล่อยคันเร่งรอบก็จะสูงขึ้นมาหน่อยแต่ไม่เกิน 500
พอประคองรถลงข้างทางขณะที่รอบมันสวิงอยู่ ผมเปิดฝากระโปรงดู ปรากฎว่า เครื่องยนต์สั่นมาก อย่างกะจ้าวเข้า ครั้งแรกไปเปลี่ยน ปีกผีเสื้อ ไม่หาย ครั้งที่สองศูนย์วิเคราะห์อาการว่า หัวฉีดตัน เปลี่ยนไป 18000 ไม่หาย ครั้งสุดท้าย(ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) เปลี่ยนเจ้าตัวที่ชื่อว่า เซนเซอร์ท่อไอเสีย Oxegen sensor อาการที่บอกมาข้างต้น หายเป็นปลิดทิ้ง
พี่ๆท่านได้ที่รถติดแก๊ซมานานๆ แล้วเจออาการแบบผม ก็ลองให้ช่างเช็คตัวที่ผมบอกดูนะครับ ราคาอยู่ที่ 3800 มั้งครับ ตัวเท่าหัวเทียน มันจะปักอยู่ตรงด้านล่างของเครื่องยนต์ ลักษณะเหมือนหัวเทียน ปักอยู่มีสายต่อมาหน่อย
คอยล์ รั่ว
เวลาเร่ง เครื่องยนต์สะดุด เร่งไม่ขึ้นเหมือนจะดับ
ผมใช้a33 เครื่อง 2000 cc.ใช้น้ำมันเบนซิน 91, แก็สโซฮอล 95 สองวันที่ผ่านมาขับไป JJมอล์ลขึ้นไปจอดรถที่ลานจอดข้างบน กลับลงมา เครื่องยนต์มีปัญหา เวลาเร่ง เครื่องยนต์สะดุด เร่งไม่ขึ้นเหมือนจะดับ จอดติดไฟแดง ใส่เกียร์ N ไว้ เครื่องดับ ต้องสตาร์ทใหม่2-3 รอบถึงติด
เอาไปอู่ซ่อมนิสสัน ช่างบอกว่าระบบ AC วาล์วลิ้นปีกผีเสื้อจ่ายน้ำมันอาจตัน เลยให้เค้าล้างให้ อาการก้อดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่รอบยังสูงไป ช่างเลยเอาลิ้นปีกผีเสื้อมาลองเปลี่ยนใหม่ปรากฎว่ารอบต่ำ พอเอามาเซ็ท ECU ปรากฎว่าตั้งค่า AC วาล์วไม่ได้ ลองเปลี่ยน AC วาล์วหลายตัวก้อไม่หาย
ช่างเช็คที่คอยล์ดูบอกว่าเป็นที่ คอยล์รั่วทั้ง 6ตัวเลย หน้าหลัง แต่บอกช่างยังไม่เปลี่ยนเพราะงบไม่พอ พอช่างมาไล่สายไฟ เอาECUมาถอดดูปรากฎว่า ช่างบอกว่า ECUเสียต้องเอาไปซ่อมหรือ ซื้อใหม่ ผมเลยเลยบอกเอาไว้ก่อน เพราะว่ายังขับได้และเซ็คค่าอย่างอื่นได้อยู่ เพราะรอบสูง เวลาเปิดแอร์ รอบก้อจะอยู่ที่ 800-900 แต่ขออย่าให้เครื่องสะอึก หรือเวลาจอดแล้วดับก้อพอ
พอทำเสร็จ เครื่องยนต์ดูเหมือนอืดๆอยู่ ท่อไอเสียสะอึกลูกสูบทำงานไม่เต็มที่ เลยลองเช็คเครื่องดู ปรากฎว่า ก้มไปมองที่ใต้ห้องเครื่องตรงช่วงข้อต่อท่อไอเสียร้อนจนเหล็กแดง ช่างเลยบอกว่าแคตตันที่กรองตรงหม้อพักไอเสียหน้าหลังตัน ต้องกระทุ้งแคตที่อยู่หม้อพักพักไอเสียตรงด้านหน้าและตรงกลางท่อไอเสียออก เพราะเป็นสาเหตุทำให้เครื่องอืดและเครื่องยนต์สะดุดสะอึก
พอเอาออกอาการก้อยังเหมือนเดิมลองสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ ช่วงข้อต่อท่อไอเสียยังร้อนจนเหล็กแดงเหมือนเดิม เครื่องยนต์แถมดันมารอบต่ำอีก เช็คดูที่ ECU อาการฟ้องว่ารอบไม่ปกติ ลูกสูบทำงานแค่ 4 ตัว ตัวที่ 1กับ 3 ไม่ทำงาน เครื่องยนต์สั่นเหมือนจ้าวเข้าเลยคับ นั่งรอตั้งแต่ 5โมงเช้าถึงสี่ ทุ่มเลยต้องจอดรถทิ้งไว้ ยังหาปัญหาไม่เจอเลย แต่ช่างบอกว่ายังไงต้องเปลี่ยน ECU เพราะรอบไม่นิ่งลูกสูบไม่ทำงาน 2ตัวตั้งค่า AC ไม่ได้
สรุปแว้...เอ้ย ! ว่า คอยล์รถผมถึงเวลา ต้องปลี่ยนยกชุด รถผมใช้แก็สโซฮอล์ล 95 ใช้งาน 125000 กิโลเมตร จึงมีอาการคอยล์รั่วพร้อมกันทั้ง 6ตัว ลูกสูบทำงานไม่เต็มที่ และแคตตัน(ไม่รู้สะกดแคตถูกรึป่าว)ที่หม้อพักด้านหน้าและตรงกลาง จึงทำให้เครื่องยนต์สะอึกวิ่งหนืดๆ พอแคตตันข้อต่อช่วงท่อไอเสียกับเครื่องยนต์จึงเกิดอาการร้อนจนเหล็กแดง
จึงทำให้ระบบไฟช็อตย้อนกลับไปที่ ECU ทำให้กล่อง ECU เสีย ลามไปช็อตที่ตัว AC ที่ลิ้นปีกผีเสื้อด้วย สรุป ว่า.... ต้องเอา ECU ไปซ่อม เปลี่ยนคอยล์ใหม่ทั้งหมด 6ตัวราคาสั่งศูนย์ ตัวละ1950 บาท บวก VAT 7% เปลี่ยน AC วาล์วควบคุมรอบที่ลิ้นปีกผีเสื้อใหม่(AC วาล์วอาจดูเหมือนว่ายังใช้ได้ แต่ช่างซ่อม ECU ที่เชียงกงบอกว่าควรเปลี่ยนใหม่เพราะถ้าAC วาล์ว ยังช็อตอยู่ก้อจะทำให้กล่อง ECU เสียอีก)
กระทุ้งแคตที่ตัน ที่หม้อพักไอเสียหน้าหลังออก ถ้าเพื่อนๆเจออาการแบบผม เวลาเปลี่ยนคอยล์ใหม่แล้ว เพื่อนอย่าลืมเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ยกชุดด้วยนะคับ ช่างบอกหัวเทียนก้อมีส่วนทำให้คอยล์เสียง่ายด้วย
เอาไปอู่ซ่อมนิสสัน ช่างบอกว่าระบบ AC วาล์วลิ้นปีกผีเสื้อจ่ายน้ำมันอาจตัน เลยให้เค้าล้างให้ อาการก้อดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่รอบยังสูงไป ช่างเลยเอาลิ้นปีกผีเสื้อมาลองเปลี่ยนใหม่ปรากฎว่ารอบต่ำ พอเอามาเซ็ท ECU ปรากฎว่าตั้งค่า AC วาล์วไม่ได้ ลองเปลี่ยน AC วาล์วหลายตัวก้อไม่หาย
ช่างเช็คที่คอยล์ดูบอกว่าเป็นที่ คอยล์รั่วทั้ง 6ตัวเลย หน้าหลัง แต่บอกช่างยังไม่เปลี่ยนเพราะงบไม่พอ พอช่างมาไล่สายไฟ เอาECUมาถอดดูปรากฎว่า ช่างบอกว่า ECUเสียต้องเอาไปซ่อมหรือ ซื้อใหม่ ผมเลยเลยบอกเอาไว้ก่อน เพราะว่ายังขับได้และเซ็คค่าอย่างอื่นได้อยู่ เพราะรอบสูง เวลาเปิดแอร์ รอบก้อจะอยู่ที่ 800-900 แต่ขออย่าให้เครื่องสะอึก หรือเวลาจอดแล้วดับก้อพอ
พอทำเสร็จ เครื่องยนต์ดูเหมือนอืดๆอยู่ ท่อไอเสียสะอึกลูกสูบทำงานไม่เต็มที่ เลยลองเช็คเครื่องดู ปรากฎว่า ก้มไปมองที่ใต้ห้องเครื่องตรงช่วงข้อต่อท่อไอเสียร้อนจนเหล็กแดง ช่างเลยบอกว่าแคตตันที่กรองตรงหม้อพักไอเสียหน้าหลังตัน ต้องกระทุ้งแคตที่อยู่หม้อพักพักไอเสียตรงด้านหน้าและตรงกลางท่อไอเสียออก เพราะเป็นสาเหตุทำให้เครื่องอืดและเครื่องยนต์สะดุดสะอึก
พอเอาออกอาการก้อยังเหมือนเดิมลองสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ ช่วงข้อต่อท่อไอเสียยังร้อนจนเหล็กแดงเหมือนเดิม เครื่องยนต์แถมดันมารอบต่ำอีก เช็คดูที่ ECU อาการฟ้องว่ารอบไม่ปกติ ลูกสูบทำงานแค่ 4 ตัว ตัวที่ 1กับ 3 ไม่ทำงาน เครื่องยนต์สั่นเหมือนจ้าวเข้าเลยคับ นั่งรอตั้งแต่ 5โมงเช้าถึงสี่ ทุ่มเลยต้องจอดรถทิ้งไว้ ยังหาปัญหาไม่เจอเลย แต่ช่างบอกว่ายังไงต้องเปลี่ยน ECU เพราะรอบไม่นิ่งลูกสูบไม่ทำงาน 2ตัวตั้งค่า AC ไม่ได้
สรุปแว้...เอ้ย ! ว่า คอยล์รถผมถึงเวลา ต้องปลี่ยนยกชุด รถผมใช้แก็สโซฮอล์ล 95 ใช้งาน 125000 กิโลเมตร จึงมีอาการคอยล์รั่วพร้อมกันทั้ง 6ตัว ลูกสูบทำงานไม่เต็มที่ และแคตตัน(ไม่รู้สะกดแคตถูกรึป่าว)ที่หม้อพักด้านหน้าและตรงกลาง จึงทำให้เครื่องยนต์สะอึกวิ่งหนืดๆ พอแคตตันข้อต่อช่วงท่อไอเสียกับเครื่องยนต์จึงเกิดอาการร้อนจนเหล็กแดง
จึงทำให้ระบบไฟช็อตย้อนกลับไปที่ ECU ทำให้กล่อง ECU เสีย ลามไปช็อตที่ตัว AC ที่ลิ้นปีกผีเสื้อด้วย สรุป ว่า.... ต้องเอา ECU ไปซ่อม เปลี่ยนคอยล์ใหม่ทั้งหมด 6ตัวราคาสั่งศูนย์ ตัวละ1950 บาท บวก VAT 7% เปลี่ยน AC วาล์วควบคุมรอบที่ลิ้นปีกผีเสื้อใหม่(AC วาล์วอาจดูเหมือนว่ายังใช้ได้ แต่ช่างซ่อม ECU ที่เชียงกงบอกว่าควรเปลี่ยนใหม่เพราะถ้าAC วาล์ว ยังช็อตอยู่ก้อจะทำให้กล่อง ECU เสียอีก)
กระทุ้งแคตที่ตัน ที่หม้อพักไอเสียหน้าหลังออก ถ้าเพื่อนๆเจออาการแบบผม เวลาเปลี่ยนคอยล์ใหม่แล้ว เพื่อนอย่าลืมเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ยกชุดด้วยนะคับ ช่างบอกหัวเทียนก้อมีส่วนทำให้คอยล์เสียง่ายด้วย
อาการเครื่องสั่น มันมีหลายสาเหตุครับ
1 ยางรองแท่นเครื่องทรุด อันนี้อาการจะสั่นสะท้านทั้งคันแต่เครื่องยนต์เร่งได้ปกติ ราคาต่อตัวที่ศูนย์ 3600-3800 โดยประมาณจำไม่ได้ครับ
2 ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก อันนี้จะรู้สึกได้เวลาพัดลมทำงานหรือคอมแอร์ทำงานรอบจะตกนิดๆสั่นหน่อยๆแต่ก็ยังเร่งได้ตามปกติ วิธีแก้คือถอดออกมาล้างแนะนำให้ไปที่ร้านที่เราสามารถมองเห็นว่าช่างได้ถอดออกมาล้างจริงผมเคยมีประสบการณ์ไปล้างที่ศูนย์ค่าใช้จ่าย400กว่าบาท อาการสั่นไม่ได้หายสนิทแต่สั่นไม่มาก ผมได้ถามจากช่างที่ชำนาญเค้าบอกว่าศูนย์มันอาจจะล้างเฉพาะกล่องECUไม่ได้ล้างทั้งระบบ
3 หัวฉีดตัน อาการนี้น่ากลัวรถสั่นทั้งคันเร่งไม่ขึ้นเครื่องยนต์เดินไม่เต็มสูบเสียงท่อไอเสียเปลี่ยนจังหวะไปคล้ายๆพวกรถไถนา วิธีแก้คือเปลี่ยนหัวฉีดใหม่ราคาที่ศูนย์3xxxกว่าต่อตัวนะครับ
4 น้ำยาแอร์เยอะไปในระบบก็ทำให้เครื่องสั่นได้เพราะน้ำยามันเยอะไปทำให้คอมแอร์ทำงานหนักอาการจะคล้ายๆกับลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกคือเวลาคอมแอร์ทำงานรอบจะตกเครื่องจะสั่นนิดๆแต่ก้ยังเร่งเครื่องได้ตามปกติ อาการนี้ที่ผมรู้ได้คือผมได้เปลี่ยนท่อแอร์ใหม่เพราะมันรั่วซึมแต่ก่อนจะเปลี่ยนใหม่เครื่องยนต์ยังเดินเรียบอยู่เลยเปลี่ยนเสร็จมีอาการทันทีผมก้เข้าใจว่าลิ้นปีกผีเสื้อมันคงจะสกปรกก็ไปให้ที่ร้านที่รู้จักล้างให้ก็ไม่หายช่างที่ร้านก้ลองเช็คน้ำยาแอร์ดูและก้ได้เรื่องเค้าแจ้งว่าน้ำยาแอร์มันเยอะไปในระบบผมก็บอกกับช่างไปว่าผมพึ่งจะเปลี่ยนท่อแอร์มาที่ บีควิก ช่างผมเค้าก็ทำการปรับปล่อยน้ำยาแอร์ให้ใหม่ตามค่าที่กำหนดแล้วอาการก็หายสนิท ปล.ผมไม่แนะนำให้ทำเรื่องแอร์ที่บีควิกเพราะช่างดุจะไม่ค่อยชำนาญมีแต่เด็กๆแต่อาจจะเป็นบางสาขาก้ได้นะครับสาขาอื่นๆอาจจะเก่งก็ได้แต่ผมคงไม่เอารถเข้าไปทำอีกถ้าเป็นเรื่องแอร์
2 ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก อันนี้จะรู้สึกได้เวลาพัดลมทำงานหรือคอมแอร์ทำงานรอบจะตกนิดๆสั่นหน่อยๆแต่ก็ยังเร่งได้ตามปกติ วิธีแก้คือถอดออกมาล้างแนะนำให้ไปที่ร้านที่เราสามารถมองเห็นว่าช่างได้ถอดออกมาล้างจริงผมเคยมีประสบการณ์ไปล้างที่ศูนย์ค่าใช้จ่าย400กว่าบาท อาการสั่นไม่ได้หายสนิทแต่สั่นไม่มาก ผมได้ถามจากช่างที่ชำนาญเค้าบอกว่าศูนย์มันอาจจะล้างเฉพาะกล่องECUไม่ได้ล้างทั้งระบบ
3 หัวฉีดตัน อาการนี้น่ากลัวรถสั่นทั้งคันเร่งไม่ขึ้นเครื่องยนต์เดินไม่เต็มสูบเสียงท่อไอเสียเปลี่ยนจังหวะไปคล้ายๆพวกรถไถนา วิธีแก้คือเปลี่ยนหัวฉีดใหม่ราคาที่ศูนย์3xxxกว่าต่อตัวนะครับ
4 น้ำยาแอร์เยอะไปในระบบก็ทำให้เครื่องสั่นได้เพราะน้ำยามันเยอะไปทำให้คอมแอร์ทำงานหนักอาการจะคล้ายๆกับลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกคือเวลาคอมแอร์ทำงานรอบจะตกเครื่องจะสั่นนิดๆแต่ก้ยังเร่งเครื่องได้ตามปกติ อาการนี้ที่ผมรู้ได้คือผมได้เปลี่ยนท่อแอร์ใหม่เพราะมันรั่วซึมแต่ก่อนจะเปลี่ยนใหม่เครื่องยนต์ยังเดินเรียบอยู่เลยเปลี่ยนเสร็จมีอาการทันทีผมก้เข้าใจว่าลิ้นปีกผีเสื้อมันคงจะสกปรกก็ไปให้ที่ร้านที่รู้จักล้างให้ก็ไม่หายช่างที่ร้านก้ลองเช็คน้ำยาแอร์ดูและก้ได้เรื่องเค้าแจ้งว่าน้ำยาแอร์มันเยอะไปในระบบผมก็บอกกับช่างไปว่าผมพึ่งจะเปลี่ยนท่อแอร์มาที่ บีควิก ช่างผมเค้าก็ทำการปรับปล่อยน้ำยาแอร์ให้ใหม่ตามค่าที่กำหนดแล้วอาการก็หายสนิท ปล.ผมไม่แนะนำให้ทำเรื่องแอร์ที่บีควิกเพราะช่างดุจะไม่ค่อยชำนาญมีแต่เด็กๆแต่อาจจะเป็นบางสาขาก้ได้นะครับสาขาอื่นๆอาจจะเก่งก็ได้แต่ผมคงไม่เอารถเข้าไปทำอีกถ้าเป็นเรื่องแอร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)